Super Holding Super Hoping

โดย ฐิติเมธ โภคชัย
นิตยสารผู้จัดการ( กันยายน 2544)



กลับสู่หน้าหลัก

วิธีการกอบกู้เศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้กับประเทศ ทางหนึ่งต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจ แต่จากอุปสรรคที่ไม่เอื้อต่อ การดำเนินการ รัฐบาลชุดนี้จึงแกไขด้วยการจัดตั้ง บรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติขึ้นมา

บรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติ หรือ บวช. มีชื่อตามภาษาอังกฤษว่า State Investment Corporation : SIC แต่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า Super Holding กำลังเป็นองค์กรแห่งความหวังต่อรัฐบาลชุดปัจจุบันเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

Super Holding มีหน้าที่กำหนดนโยบายในการพัฒนาและบริหารรัฐวิสาหกิจ และสามารถตัดสินใจได้ในเชิงกลยุทธ์ โดยโอนรัฐวิสาหกิจเข้ามาบริหารแทนรัฐบาล

หมายความว่าองค์กรดังกล่าวจะนำรัฐวิสาหกิจทั้งหลายเข้ามาดูแลแล้วทำให้กลายเป็นบริษัทจำกัด พยายามปรับปรุงหรือ บริหารทรัพย์สินของรัฐวิสาหกิจให้มีคุณภาพ มากขึ้น

"ภาครัฐมีรัฐวิสาหกิจเต็มไปหมด ถ้า หากมีองค์กรในรูปแบบโฮลดิ้งคอมปานีขึ้นมาบริหารด้วยมืออาชีพจะส่งผลให้การบริหาร งานที่มีอยู่ดีขึ้น" ดร.อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม นักวิชา การคลัง 9 ชช., กระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มวิเคราะห์การแปรรูปรัฐวิสาหกิจกล่าว โดยเป้าหมายหลักของรัฐวิสาหกิจทั้งหมดภายใต้การบริหารงานของ Super Holding คือ การแปรรูปเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายใน 3 ปีข้างหน้า โดยภาครัฐต้องลดสัดส่วนการถือหุ้นลงแต่รัฐ วิสาหกิจเหล่านั้นยังอยู่ในโฮลดิ้งคอมปานีต่อไป

"พวกเขาไม่ได้เข้มงวดเกินไปที่จะแปรรูปได้ทั้งหมด แต่ก็น่าจะทำได้เนื่องจากขั้นตอนการทำงานลดน้อยลง" ขนิษฐา สรรพอาษา กรรมการผู้จัดการทรีนีตี้ แอ็ดไว ซอรี่ 2001 กล่าว

เหตุผลในการจัดตั้ง Super Holding ของทางการไทย ที่เห็นว่าน่าจะมีองค์กรที่เหนือคนอื่น ต้องมีอำนาจเด็ดขาดที่จะทำอะไรสักอย่างจากที่ในอดีตถึงปัจจุบันยังไม่เคยมี เพราะประเทศอื่นๆ โดยทั่วไปแล้วกระทรวงการคลังจะเป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาด แต่ประเทศไทยกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น รัฐวิ-สาหกิจแต่ละแห่งจัดตั้งขึ้นตามวัตถุประสงค์ ในพระราชบัญญัติ ทำให้กระทรวงการคลังไม่เคยมีอำนาจเด็ดขาดเช่นประเทศอื่นๆ จึง จำเป็นต้องมีโฮลดิ้งคอมปานีขึ้นมา

สำหรับรูปแบบการจัดตั้ง Super Holding ขึ้นมาครั้งนี้ รัฐบาลได้ศึกษารูปแบบในหลายประเทศ เช่น เยอรมนี สิงคโปร์ และ อิตาลี จากนั้นก็กลายมาเป็นรูปแบบของไทย คือ มีโครงสร้างลักษณะแห่งความเป็นไทย

"ได้เกิดวิวัฒนาการที่เหมาะสมในบ้านเราว่าการที่รัฐวิสาหกิจจะเข้าจดทะเบียน มีความซับซ้อน การที่รัฐมนตรีเข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิดจะทำให้การทำงานรวดเร็วขึ้น" ดร.อารีพงศ์บอก

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงรูปแบบการบริหารงานของ Super Holding ดูเหมือนจะมีความใกล้เคียงกับโฮลดิ้งของ Temasek ของสิงคโปร์ซึ่งถือเป็นตัวอย่างองค์กรที่ดี

"แน่นอนว่าไทยไม่เหมือนกับประเทศ ใดๆ ทั้งนั้น สำหรับกรณีสิงคโปร์กับไทยอาจ จะมีบางอย่างที่คล้ายๆ กัน แต่ความแตกต่างย่อมมีแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขนาดประเทศ จำนวนประชากร ระดับการพัฒนา เศรษฐกิจซึ่งสิงคโปร์พัฒนาไปมากกว่าและไทยก็ยังต้องตามมาอีก" ไซมอน เลียรี่ กรรม การสายงานที่ปรึกษาด้านการปรับโครงสร้าง ภาครัฐและการจัดหาเงินทุนสำหรับโครงการ ประจำประเทศไทยและอินโดจีน ไพร้ซวอเตอร์ เฮาส์คูเปอร์สกล่าว

นอกจากนี้ตัวผลักดันเศรษฐกิจของ 2 ประเทศนี้จะไม่เหมือนกัน โดยสิงคโปร์เน้นภาคบริการและเทคโนโลยี ขณะที่ไทย เน้นด้านการผลิตและการเกษตร "อย่านำ 2 ประเทศนี้มาเปรียบเทียบกัน" เลียรี่เล่าว่า "Temasek มีผลต่อสิงคโปร์แห่งเดียว รูปแบบ นี้ประเทศไหนจะนำไปใช้ก็ไม่ได้ผล และยังไม่เคยเห็นว่ามีใครที่นำรูปแบบ ดังกล่าวไปใช้แล้วได้ผล"

อย่างไรก็ดี Super Holding ก็มีจุดดีอยู่ในตัว เพราะในอดีตที่การแปรรูปรัฐ วิสาหกิจล่าช้ามีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนโยบายและเจ้าสังกัดของแต่ละรัฐวิสาหกิจ ผลก็คือ ไม่มีจุดศูนย์กลางในการตัดสินใจ ดังนั้นองค์กรโฮลดิ้งที่จัดตั้งขึ้นจึงกลายเป็นจุดตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบาย "แนว ทางการทำธุรกิจของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง มีการตัดสินใจอยู่ที่จุดเดียวทำให้ลดขั้นตอนการทำงานลง" ขนิษฐาชี้ "อีกทั้งจะมีความชัดเจนมากขึ้นระหว่างธุรกิจเพื่อสังคมและเชิง พาณิชย์ ซึ่งจะผลักดันให้ออกไปแข่งขันกับภาคเอกชนได้ ทั้งในแง่การทำงาน หาแหล่ง เงินทุนโดยไม่ต้องพึ่งพารัฐบาลอีกต่อไป"

ขณะเดียวกันภาครัฐเองก็ตัดสินใจ ง่ายว่าจะทำอย่างไรกับธุรกิจเชิงพาณิชย์ เช่น การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ได้แยกธุรกิจท่อส่งออกมา นี่คือหน้าที่หนึ่งหลังจากแปรรูปแล้วที่รัฐวิสาหกิจ ต้องมองตัวเองว่าอยากจะทำงานอะไร และทำให้ Super Holding ตัดสินใจได้ว่าจะทำอย่างไร

"นี่คือความเด่นชัดในด้าน policy thinking ในเชิงการผลักดันให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเป็นอิสระเพื่อความมีประสิทธิ ภาพ" ขนิษฐาอธิบาย

มีคำถามตามมาว่าหากสภาพตลาดยังไม่ฟื้นตัวอย่างเข้มแข็ง องค์กรอย่าง Super Holding จะปฏิบัติงานได้มีศักยภาพหรือไม่ "การมีโฮลดิ้งหรือไม่มีนั้น คือ การบริหารงานให้มีคุณภาพมากขึ้น ต้องเปรียบเทียบการมีโฮลดิ้งกับไม่มีในสภาพตลาดที่เหมือนกัน ถ้าคิดว่าโฮลดิ้งทำงานได้ดีกว่าก็ต้องดีกว่าการที่ไม่มี" ดร.อารีพงศ์บอก

นอกจากนี้เขายังยืนยันอีกว่าการแปรรูปรัฐวิสาหกิจท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจ ยุคปัจจุบันสามารถดำเนินการได้ "เราดูความ ต้องการแล้วว่านักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนในธุรกิจที่มั่นคง"

ความมั่นใจเช่นนี้ อาจจะมาจากกรณี ความผิดพลาดในการกระจายหุ้นการบินไทย ซึ่งถือเป็นบทเรียนของรัฐบาลที่สำคัญ เนื่อง จากกระจายหุ้นเข้าตลาดเพียง 7% ส่งผลให้ภาพลักษณ์ยังเป็นรัฐวิสาหกิจและผู้ถือหุ้นรายย่อย ไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบการบริหารงานได้เพราะอุปสรรคโครงสร้างการ ถือหุ้น

นอกจากนี้ความกังวลของนักลง ทุนอีกประการหนึ่ง คือ เมื่อเข้าตลาดแล้ว ราคาหุ้นจะลดต่ำลง หากพิจารณาแล้วราคาหุ้นที่ลดต่ำลงไม่ใช่เฉพาะหุ้นรัฐ วิสาหกิจและการลงทุน ทั่วๆ ไปก็มีความ เสี่ยงด้านราคา

หากมองกันอย่างยุติธรรมหุ้นบางตัวจะมีช่วงจังหวะที่ทำกำไรได้ แต่ขณะที่ ช่วงขาลงกลับพยายามกล่าวโทษ เพราะการเข้าไปลงทุนต้องดูแลตนเองให้ดี

กระนั้นก็ตาม ระดับราคาหุ้นของรัฐวิสาหกิจในการเข้าตลาดที่เหมาะสม ควรอยู่ในระดับไหน หากมองในแง่วาณิชธนกิจ คำว่าราคาดีที่สุดก็คือช่วงที่ทำราคา ขาย IPO เป็นราคาที่เหมาะสมและราคานี้ เมื่อเข้าซื้อขายในตลาดก็ยังสามารถทำให้นักลงทุนขายแล้วมีกำไรได้บ้าง

"นี่เป็นราคาที่เหมาะ" ขนิษฐาชี้ "แต่ระดับราคาหุ้นรัฐวิสาหกิจจะอยู่ระดับ ไหนนั้นสุดท้ายขึ้นอยู่กับเจ้าของรัฐวิสาหกิจ หากบริษัทที่ปรึกษาบอกว่าราคานี้เหมาะแต่รัฐบาลมีสิทธิ์ที่จะไม่ขายหากดูแล้ว ไม่ใช่ราคาที่เหมาะสมซึ่งต้องคุยกันทั้งสองฝ่ายซึ่งไม่น่าจะเป็นปัญหา"

อีกไม่กี่เดือนข้างหน้ารัฐบาลตั้งความหวังไว้ว่า จะได้เห็นบรรยากาศที่นักลงทุนยืนเข้าแถวเพื่อจองซื้อหุ้นรัฐวิสาหกิจ เช่นเดียวกับภาพที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้ากรณีโรงไฟฟ้าราชบุรี

อย่างไรก็ตาม หากจะมีอะไรเกิดขึ้นกับ Super Holding นั้นไม่น่าจะเกิดที่นโยบาย แต่ถ้าจะมีคงจะอยู่ที่รัฐวิสาหกิจ เองว่าจะดำเนินได้ตามแผนงานหรือไม่



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.