คนวัยเกษียณจากการทำงานดูไม่ค่อยตื่นเต้นกับอนาคต เพราะสังคมภูมิภาคเอเชียเป็นสังคมแห่งการเกื้อกูล
บุตรหลานต้องเลี้ยงดู ฉะนั้นการวางแผนเกษียณที่ดีที่สุด คือ การมีลูกสาวมากๆ
ก็เป็นหลักประกันเพียงพอแล้ว
การเกษียณจากการทำงานเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตและนำมาซึ่งความรู้สึก
หลากหลาย ทั้งความรู้สึกดีๆ ความภาคภูมิ ใจที่ได้ทำหน้าที่ของตนมาจนตลอดรอดฝั่ง
ความตื้นตันใจที่มีเพื่อนร่วมงาน มีลูกน้องมา ร่วมแสดงความยินดี ความอาลัยรัก
ขณะที่บางคนกลับรู้สึกที่ไม่ดี มีความ กังวลใจด้านการเงินว่าจะใช้ชีวิตอย่างมั่นคงได้ขนาดไหน
ความรู้สึกดังกล่าวอาจจะผุด ขึ้นมาในใจได้โดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่ได้มีแหล่งรายได้อื่นหรือมีลูกหลานที่มีฐานะทาง
การเงินมั่นคงอุ้มชู
หลายๆ คนต้องเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิต ที่เคยสุขสบายมาเป็นการดำรงชีวิตอย่างกระเบียดกระเสียร
ทำอย่างไรจึงจะสามาถหลีกเลี่ยงปัญหาความกังวลด้านการเงินยาม เกษียณได้
ปัจจุบันสามารถหลีกเลี่ยงความกังวล ดังกล่าวได้และไม่ต้องเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตแบบหน้ามือเป็นหลังมือ
หากวางแผนการลงทุนอย่างเหมาะสมไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ
มีคำถามเกิดขึ้นว่าควรจะมีเงินจำนวนเท่าใดในวัยเกษียณอายุจึงจะสามารถ ใช้ชีวิตได้อย่างไม่ขัดสน
และเพื่อบรรลุเป้าหมายกองทุนเพื่อการเกษียณควรจะลงทุนอย่างไร
ปัจจุบันภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำและเป็น สถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ดังนั้นคนเกษียณจากการทำงานบางคน กับเงินก้อนสุดท้ายจะไปหวังพึ่งผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารคง
จะเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง
"ที่ผ่านมาสังคมไทยชอบการออมเงินกับธนาคารแต่ไม่คิดลงทุน" วิวรรณ
ธาราหิรัญโชติ กรรมการผู้จัดการ บลจ. วรรณ ชี้
ความจริงแล้วการจัดการทางการเงิน มี 2 ระดับ คือ การออมและการลงทุน แต่สำหรับคนไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันยังจัดการกับเงินของตนเองไม่ค่อยเหมาะสม
สาเหตุมาจากที่ผ่านมาอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
ดังนั้นจึงไม่แสวงหาวิธีการลงทุนอย่างอื่นนอกเหนือจากนำไปฝากธนาคาร
"พวกเขากำลังหาทางออกเมื่อถึง จุดที่อัตราดอกเบี้ยตกต่ำและเงินเฟ้อ"
วิวรรณบอก
สำหรับบางคนหลังจากเกษียณไปแล้วไม่ได้นึกถึงอะไรได้แต่รอคอยให้ลูกหลาน
เลี้ยงดูซึ่งไม่ใช่ความคิดที่ผิด แต่ปัจจุบันจะเห็นว่าลูกหลานทั้งหลาย ไม่สามารถดูแลได้
แม้กระทั่งจะหาเลี้ยงตนเองยังลำบาก หรือไม่มีความสามารถที่จะออมเงินได้ พวกเขายังต้องการเงินเริ่มต้นจากพ่อแม่
ดังนั้นคนวัยเกษียณต้องนึกถึงตัวเองว่าจะทำอะไรบ้างกับเงินก้อนสุดท้าย ซึ่งจะต้องเลือกการบริหารเงินให้เหมาะสมว่าจะลงทุนอะไรบ้าง
และต้องแยกออกมาว่าถึงประเภทของการลงทุน และความเสี่ยงที่รับได้
วรวรรณ ธาราภูมิ แห่ง บลจ.เอ็ม เอฟซี อธิบายว่าหากเป็นไปได้ คือ กันเอาไว้ใช้และ
สูญเงินต้นไม่ได้ จากนั้นถ้ามีส่วนเกินนำไปหาประโยชน์จากช่องทางอื่นที่มีความเสี่ยงมากขึ้น
"การที่ไม่สูญเงินต้นคือการนำไป ฝากธนาคาร หรือหากวางแผนดีควรลงทุนพันธบัตรรัฐบาลที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากแต่มีความเสี่ยงต่ำ"
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในพันธบัตร ในแต่ละครั้งต้องใช้เงินจำนวนค่อนข้างมาก
ซึ่งคนวัยเกษียณไม่ทุกรายที่เข้าไปลงทุนได้ ทางออกอาจจะพิจารณาเรื่องการลงทุนกองทุนตราสารหนี้
หรือพันธบัตรรัฐบาล แต่ ถ้าเป็นหุ้นกู้ภาคเอกชนควรดูคุณภาพหุ้นกู้ที่กองทุนรวมเลือกลงทุน
หากนักลงทุนซื้อพันธบัตรโดยตรงและถือครบอายุจะไม่มีปัญหาเรื่องอัตราดอก
เบี้ย แต่ข้อเสียคือ จะต้องเสียภาษีตามผลตอบแทนที่ได้รับและไม่มีสภาพคล่อง
แต่หาก ลงทุนผ่านกองทุนรวมจะได้พันธบัตรหลายชนิด
"ข้อดี คือ ลงทุนด้วยจำนวนเงินเล็กน้อย ประหยัดภาษี ข้อเสีย คือ ช่วงพันธบัตร
ยังไม่หมดอายุจะมีการ mark to market" วรวรรณบอก
ปัจจุบันพันธบัตรรัฐบาลอายุ 20 ปีให้ผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 7.2% ต่อปี ส่วนหุ้นกู้ภาคเอกชน
เช่น หุ้นกู้โรงไฟฟ้าขนอมให้ผลตอบแทนประมาณ 7% ต่อปี หรือหุ้นกู้แทคที่ให้ผลตอบแทนประมาณ
6.8% ต่อปี
สำหรับหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจในปัจจุบัน กลุ่มพลังงานเป็นกลุ่มที่ไม่ค่อยผันแปรต่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์
แต่ควรลงทุนในระยะปานกลางขึ้นไป แต่หากมองหุ้นที่เติบโตดีที่สุดในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา
ได้แก่ BIGC และ MAKRO
"ทุกจังหวะของเศรษฐกิจจะมีส่วนที่ไปได้ แต่ควรระลึกไว้เสมอว่าซื้อหุ้นแบบถือยาวไม่มีในบ้านเรา"
วรวรรณกล่าว
อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังไม่ค่อยเข้าใจ กับการลงทุนในกองทุนรวม บางคนถึงกับมองในแง่ลบ
สาเหตุเกิดจากพัฒนาการของอุตสาหกรรมกองทุนรวมซึ่งเริ่มต้นจากกองทุน หุ้นทุนเมื่อ
26 ปีที่แล้ว ขณะที่กองทุนตรา สารหนี้เพิ่งเริ่มต้นในปี 2537
หากเป็นกองทุนหุ้นทุน ความกระตือ รือร้นหมดไปตั้งแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ
เพราะ พวกเขาจะลงทุนก็ต่อเมื่อเห็นการเติบโตตลาด หุ้นอย่างต่อเนื่อง "ปรากฏการณ์แบบนั้นเห็น
ครั้งสุดท้ายเมื่อปลายปี 2536" วิวรรณเล่า "จากนั้นได้ตั้งกองทุนตราสารหนี้ขึ้นมาและหลังวิกฤติเศรษฐกิจก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน"
หลังจากนักลงทุนไม่วางใจส่งผลให้บรรดากองทุนรวมและคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ก.ล.ต.) พยายามแก้ภาพพจน์และกระตุ้นนักลงทุนอีกครั้ง
ล่าสุด ก.ล.ต. กำลังพิจารณากองทุนตลาดเงิน (Money Market Fund) คาดว่าจะออกได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้
แต่กองทุนดังกล่าวผลตอบแทนจะต่ำกว่ากองทุนชนิดอื่น ความเสี่ยงต่ำเพราะเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีอายุสั้นไม่เกิน
1 ปี
"กองทุนตลาดเงินเหมาะสำหรับคนที่ย้ายงานบ่อย กิจการที่มีเงินสดหมุนเวียนระยะเวลาสั้น
นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับคนที่กำลังเกษียณ เพราะมีความเสี่ยงที่ต่ำมาก โดยรูปแบบของกองทุนพวกเขาเลือกลงทุนเองได้"
วรวรรณกล่าว
แต่อุปสรรคก็คือ ทำอย่างไรที่จะให้นักลงทุนเข้าใจโดยเฉพาะพื้นฐานความเสี่ยงของการลงทุน
ซึ่งต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควร อย่างไรก็ตามกองทุนตลาดเงินเป็นพัฒนาการอีกขั้นของตลาดทุนไทย
และเป็น การเจาะตลาดรูปแบบใหม่ของอุตสาหกรรมกองทุนรวม จากอดีตที่มองตลาดรวมหรือมองตามกลุ่มอุตสาหกรรมเป็นหลัก
ปัจจุบัน เริ่มสนใจนักลงทุนเป็นรายบุคคลแล้ว
"กองทุนตลาดเงินเป็นกองทุนชนิดแรกที่ควรเกิดขึ้นในประเทศไทย"
วรวรรณชี้
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่านักลงทุนยังมีความกังวลต่อผลตอบแทนและความมั่นคงเช่นเดียวกับภาพที่เป็นมาตั้งแต่อดีต
สิ่งที่กองทุนรวมพยายามจะอธิบาย คือ ผลตอบแทนที่ได้รับอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่มี
อีกต่อไป ดังนั้นต้องทำให้รู้จักกับความเสี่ยง ซึ่งไม่มีการลงทุนชนิดใดที่ปราศจากความเสี่ยงแม้กระทั่งการฝากออมไว้กับธนาคาร
"กองทุนที่มีความเหมาะสมกับนักลงทุนไทยจะต้องมีส่วนผสมการลงทุนในตลาดเงิน
ตราสารหนี้และหุ้นทุน และไม่ควร เน้นลงทุนแบบใดแบบหนึ่ง เช่น ต้องการกำไรก็ไปลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงสูง
หรือลงทุนในตลาดเงินซึ่งมีผลตอบแทนต่ำแต่มีความเสี่ยง กับอัตราเงินเฟ้อ"
ดร.สมจินต์ ศร ไพศาล ผู้อำนวยการอาวุโส บลจ.วรรณกล่าว
เขาอธิบายต่อไปว่ากราฟชีวิตของคน มี 3 ช่วง เมื่อจบการศึกษาหรือเริ่มทำงานจะมีเงินสะสมมากกว่าค่าใช้จ่ายและรายได้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แต่ถึงช่วงเวลาหนึ่งรายได้จะหยุดการเติบโต ในที่สุดจะคงที่และลดลงเมื่อถึงช่วงวัยเกษียณ
"เราสามารถหาเงินจากกำลังนั้นสุดท้ายจะหยุดลง ดังนั้นหลังเกษียณไปแล้วจะลงทุนอย่างไร
ซึ่งต้องเตรียมการเมื่อ 30 ปี ที่แล้วว่าอีก 30 ปีข้างหน้าเพื่อเตรียมเงินไว้เลี้ยงคนแก่และคนแก่คนนั้นก็คือตัวเราเอง"
หากพูดถึงการลงทุนเป็นเรื่องของการ วางแผน ฉะนั้นจงให้เวลากับเรื่องนี้เพราะแต่ละคนมีฐานการเงินและวัตถุประสงค์แตกต่างกัน
"แต่ยังไม่สายสำหรับคนที่ยังไม่ วางแผน" วรวรรณบอก
แน่นอนความเสี่ยงมีตลอดเวลาแต่ใครก็ตามที่วางแผนตั้งแต่เริ่มต้นจะสามารถรับความเสี่ยงในช่วงเวลาที่เลวร้ายได้
ที่สำคัญ ต้องเข้าใจด้วยว่าตนเองต้องตัดสินใจลงทุนและรับผลกำไรขาดทุนเอง
นักลงทุนที่จะกำหนดเป้าหมายในการลงทุนที่ดีที่สุดคือตัวเองเพราะจะทราบความต้องการ
ความกลัว ความกังวล หรือข้อจำกัดการลงทุนได้ดี แต่เนื่องจากว่าไม่ค่อยชินกับการกำหนดเป้าหมายอย่างเป็นระบบ
การเริ่มต้นเป็นสิ่งที่ลำบาก
เวลาไปพบผู้จัดการกองทุนเพื่อขอให้ วางแผนการลงทุนให้ จะพบคำถามหนึ่งจากผู้จัดการกองทุน
คือ รับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน หลายๆ คนคิดว่าตนเอง รับความเสี่ยงได้มาก
แต่พอถามว่าหากสูญเสียเงินไปจะมีปัญหาทางการเงินหรือไม่เกือบทุกคนจะบอกว่ามี
ถ้านักลงทุนมองไกลต้องวางแผน แบบที่เงินกองทุนสามารถเติบโตได้เท่าๆ กับ
อัตราเงินเฟ้อหลังเกษียณ เพื่อให้ดอกผลที่กองทุนสร้างขึ้นในแต่ละปีมีอำนาจซื้อไม่ลดลงควรเตรียมเงินให้สามารถสร้างผลตอบแทน
มากกว่าที่ต้องการใช้ไว้เพื่อให้มีส่วนเหลือไป ทบกองทุนให้เติบโตบ้าง
ถ้าสามารถมีส่วนที่เหลือสมทบกองทุนให้ใหญ่ขึ้นได้สักเท่าๆ กับอัตราเงิน
เฟ้อในแต่ละปีได้ก็จะดีที่สุด เพราะจะทำให้ดอกผลจากการลงทุนเพิ่มขึ้นเท่าๆ
กับอัตรา เงินเฟ้อ และทำให้อำนาจซื้อไม่ลดลงตามเวลาที่เปลี่ยนไป
เงินกองทุนดังกล่าวอาจจะเป็นมรดก ที่มีค่าสูงทีเดียวสำหรับลูกหลานผู้โชคดี