เมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา ทุกคนรู้จักเอ็ฟเฟ็คทีฟ แพลนเนอร์ส ขณะเดียวกันได้รู้จักแอนโทนี่
นอร์แมน ในฐานะผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ ทีพีไอ ปัจจุบันเขากำลังถูกตรวจสอบ ชื่อของปีเตอร์
โกธาร์ด จึงได้รับความสนใจขึ้นมาแทน
การต่อสู้ระหว่าง บมจ.อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย หรือทีพีไอกับเอ็ฟเฟ็คทีฟ
แพลนเนอร์ส ในฐานะผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการทำให้ได้รับรู้ถึงความเป็นไปในหลายๆ
ด้านจนกลายเป็นกรณีศึกษา ในสายตาของกลุ่มคนบางกลุ่ม
การรับรู้ในหลายเรื่องราวระหว่างทีพีไอกับเอ็ฟเฟ็คทีฟ แพลน เนอร์สได้ถูกส่งผ่านมาจากตัวบุคคลทั้งสองฝ่ายซึ่งในที่สุด
ได้กลายมาเป็นความขัดแย้งที่ยังไม่มีทีท่าจะยุติลงโดยเร็วและถือเป็นบทเรียน
ของทั้งสองฝ่าย
สำหรับภาพลักษณ์ของประชัย เลี่ยวไพรัตน์ เป็นที่รู้จักดีในฐานะผู้ก่อตั้งทีพีไอจนกลายเป็นธุรกิจปิโตรเคมีครบวงจรที่สมบูรณ์แห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย
และทุกคนรู้จักเขาและตระกูลของเขาดีมาก ขึ้นหลังจากทีพีไอขาดสภาพคล่องทางการเงิน
ขณะที่ชื่อของแอนโทนี่ นอร์แมน กรรมการผู้จัดการเอ็ฟเฟ็ค ทีฟ แพลนเนอร์ส
ได้รับรู้ในวงสังคมโดยกว้างก็ต่อเมื่อเข้ามามีบทบาทในปัญหาทีพีไอ และในฐานะผู้ที่ให้ข้อมูลกับมวลชนในการแก้ปัญหาทีพีไอ
จนกระทั่งชื่อและภาพของเขากลายเป็นเนื้อเดียวกับชื่อบริษัท จนแยกไม่ออก
อย่างไรก็ตาม หลังจากนอร์แมนมีปัญหาต่อ กรณีการไม่มีใบอนุญาตเข้ามาทำงานในประเทศไทย
และถูกทางการไทยสอบสวน ดูเหมือนว่าชื่อของเขากำลังถูกทำให้หายออกไปจากวงสังคม
เมื่อเป็นเช่นนี้ปีเตอร์ โกธาร์ด ในฐานะผู้อำนวยการเอ็ฟเฟ็คทีฟ แพลนเนอร์สได้รับการวางตัวให้ขึ้นมาทำหน้าในฐานะเป็น
Spearker แทนนอร์แมน
การเปิดตัวของโกธาร์ดอาจจะไม่หวือหวาหรือตื่นเต้น เหมือนกับผู้บริหารคนอื่นๆ
เขาเพียงแค่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนก่อนที่จะรับภารกิจเต็มตัว แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาในการทำงานเพราะโกธาร์ดเป็นคนหนึ่ง
ที่รับผิดชอบในการแก้ปัญหาทีพีไอตั้งแต่เริ่มต้น
ดังนั้น ความคิดที่มีต่อทีพีไอของโกธาร์ดจึงไม่แตกต่างไปจากนอร์แมน
"กรณีของทีพีไอเป็นปัญหาที่แก้ไขยากที่สุดกรณีหนึ่งของ โลก"
โกธาร์ดเล่า "พวกเราได้ทำไปได้หลายอย่างตามแผนงานที่กำหนดไว้ โดยเฉพาะการแปลงหนี้เป็นทุน
32 พันล้านบาท ทำให้หนี้ลดลงได้ประมาณ 20%"
สิ่งสำคัญที่เขามองเห็นปัญหาของทีพีไอ คือ การลดหนี้ของบริษัทลงซึ่งจะทำให้ภาระดอกเบี้ยลดลงตามไปด้วย
โดยแผนการในช่วงแรกเอ็ฟเฟ็คทีฟ แพลนเนอร์ส ตั้งใจไว้ว่าจะให้นักลงทุนเข้ามา
ลงทุนในทีพีไอประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในระยะเวลา 4 ปีข้างหน้า แต่เมื่อพิจารณาแล้วพบว่ากว่าจะถึงช่วงระยะเวลาดังกล่าว
ภาระดอกเบี้ยอาจจะสูงกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ
"เราจึงคิดว่าจะให้เจ้าหนี้เข้ามาถือหุ้นในทีพีไอเลย"
อีกทั้งยังมีแผนการเป้าหมายในการขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ตัวหลักทรัพย์ออกไปเพื่อนำเงินเข้ามาให้ได้
200 ล้านเหรียญสหรัฐ ล่าสุดได้ขายหนี้ทีพีไอโพลีนในส่วนที่ทีพีไอเป็นเจ้าหนี้ออกไป
1,273 ล้านบาท
ในอนาคต มีแผนที่จะขายโรงไฟฟ้าออกไปซึ่งกำลังอยู่ใน ขั้นตอนการเจรจาหานักลงทุนที่สนใจ
"หลายคนเข้าใจว่าทีพีไอจะต้องแตกออกเป็นธุรกิจๆ ไป" โกธาร์ดเล่า
"แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น เช่น การขายโรงไฟฟ้าเมื่อขายไปแล้วเขาจะต้องขายไฟฟ้า
ให้กับทีพีไอ พวกเราเชื่อว่าทีพีไอไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของหรือลงทุน เองทั้งหมด
แม้ว่าการเป็นเจ้าของจะสามารถควบคุมการทำงานได้แต่ก็ต้องใช้เงินลงทุนสูง"
นอกจากนี้แผนการดั้งเดิม ก็คือ จะให้ผู้ถือหุ้นเดิมอย่างประชัย และ ดร.ประมวล
เลี่ยวไพรัตน์ นั่งเป็นผู้บริหารเหมือนเดิม และทั้งสองต้องเข้ามาช่วยเหลือในการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผน
แต่ในที่สุดทั้งสองก็ได้ตัดสินใจไม่เข้าร่วมงานกับเอ็ฟเฟ็คทีฟ แพลน เนอร์ส
"พวกเราเข้าใจดีว่าเป็นการยากที่ทั้งสองท่านจะอยู่ต่อ" โกธาร์ดกล่าว
อย่างไรก็ดี ทั้งประชัย และ ดร.ประมวล เป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อยและเป็นพนักงานของทีพีไออยู่
โดยได้รับตำแหน่งที่ไม่ค่อย active รวมถึงความรับผิดชอบได้เปลี่ยนไป "แต่ก็อยากให้ทั้งสองเข้ามาร่วมงาน"
สำหรับในส่วนพนักงานของทีพีไอ โกธาร์ดบอกว่าทุกคนยังเป็นส่วนหนึ่งของแผนการฟื้นฟูกิจการ
ที่สำคัญต้นทุนในส่วนพนักงาน มีเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับต้นทุนด้านอื่นๆ
ขณะที่คนของทีพีไอตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับต้นทุนการดำเนินงานสำหรับบุคลากรของเอ็ฟเฟ็คทีฟ
แพลนเนอร์ส ว่าสูงพอสมควร "มันไม่ได้แพงเลยเพราะสิ่งที่เราทำให้กับบริษัทคุ้มค่าในเชิงมูลค่า"
คำตอบเช่นนี้อาจจะมองเห็นนัยว่า คนของทีพีไอไม่มีประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ
"เราไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เพียงแต่พวกเขาไม่มีเทคนิคที่ทันสมัยที่สุด
ดังนั้นจึง พยายามนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามา"
ท่ามกลางบรรยากาศขมุกขมัวภายในองค์กรทีพีไอนับตั้งแต่เอ็ฟเฟ็คทีฟ แพลนเนอร์ส
ภายใต้นอร์แมนเข้ามาทำงานแก้ปัญหาให้กับทีพีไอดูเหมือนว่า ความขัดแย้งนับวันซับซ้อนทั้งเรื่องส่วนรวมและส่วนตัว
นับจากนี้ไปเมื่อโกธาร์ดเข้ามาบรรยา กาศภายในทีพีไอจะสดใสมากขึ้นหรือไม่นั้นไม่มีใครคาดเดาได้
เพราะปัญหาไม่ใช่มีเฉพาะ เรื่องการทำงานเท่านั้นแต่ความรู้สึกส่วนตัวยังเป็นอุปสรรคของทั้งสองฝ่าย
โกธาร์ดเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ทางด้านการฟื้นฟู และบริหารธุรกิจในภาวะหนี้สินล้นพ้นตัวเป็นระยะเวลานานร่วม
15 ปี โดยได้ร่วมงานกับเฟอร์เรียร์ ฮอดจ์สัน นครซิดนีย์ บริษัทแม่ของเอ็ฟเฟ็คทีฟ
แพลนเนอร์ส มาตั้งแต่ปี 2530
ที่ผ่านมาเขาได้ร่วมดำเนินการฟื้นฟูและบริหารธุรกิจในภาวะหนี้สินล้นพ้นตัวให้แก่อุตสาหกรรมการผลิต
เทคโนโลยีสารสนเทศ โรงแรม การก่อสร้าง การเกษตร และสื่อสารมวลชน
ระหว่างปี 2538-2539 โกธาร์ดได้ร่วมงานกับคาร์น คอนซัล ติ้ง อิงก์ บริษัทในเครือของเฟอร์เรียร์
ฮอดจ์สัน ในกรุงนิวยอร์กเป็นระยะเวลาปีครึ่ง โดยรับผิดชอบด้านการปรับโครงสร้างทางการ
เงิน การฟื้นฟูธุรกิจ การให้คำแนะนำในการดำเนินคดีความ และการให้คำปรึกษาด้านการบริหาร
หลังจากเดินทางกลับจากอเมริกาเขาได้มีบทบาทสำคัญ ในการพัฒนาธุรกิจให้บริการในการดำเนินคดีความของเฟอร์เรียร์
ฮอดจ์สัน ทั้งยังรับผิดชอบโครงการขนาดใหญ่ตลอดจนการดำเนินการวิเคราะห์ และประเมินมูลค่าธุรกิจเพื่อนำมากำหนดลักษณะและปริมาณความเสียหาย
หรือนำมาใช้พิจารณาข้อฟ้องร้องในคดีต่างๆ
ส่งผลให้โกธาร์ดมีประสบการณ์ที่ครอบคลุมในอุตสาหกรรม และธุรกิจหลากหลายประเภท
ตลอดจนความเข้าใจในเรื่องระบบกฎหมายโดยละเอียดและชัดเจนมากยิ่งขึ้น
โกธาร์ดเข้ามาร่วมงานกับเฟอร์เรียร์ ฮอดจ์สัน ในประเทศไทยเมื่อปลายปี 2540
โดยรับผิดชอบงานด้านการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัทขนาดใหญ่ซึ่งมีมูลหนี้รวมทั้งสิ้นกว่า
4,500 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและปูนซีเมนต์
เขาจบการศึกษาระดับปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจ และได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้ตรวจสอบบัญชี
และเป็นสมาชิกสมาคมการบริหารธุรกิจในภาวะหนี้สินล้นพ้นตัวแห่งออสเตรเลีย
(The Insolvency Practitioners Association of Australia)