H&Q 10 ปีในประเทศไทย


นิตยสารผู้จัดการ( กันยายน 2543)



กลับสู่หน้าหลัก

ด้วยรูปแบบธุรกิจในปัจจุบัน ที่มีความเป็นสากล และเต็มไปด้วยการแข่งขัน การขยายขอบข่าย ศักยภาพเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งนั่นต้องอาศัยเงินลงทุน ที่เพียงพอต่อการรองรับการขยายตัว

เอช แอนด์ คิว เอเชีย แปซิฟิค (H&Q Asia Pacific) ประสบความสำเร็จอย่างมากมายด้านการบริหารเงินร่วมลงทุน (venture capital) ในอเมริกาเกี่ยวกับธุรกิจเชิงอิเล็กทรอนิกส์ และเทคโนโลยีใน แถบ silicon valley

H&Q ได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุนให้บริหารเงินทุนทั้งสิ้น 16 กองทุน เป็นเงินกว่า 1,600 ล้านเหรียญสหรัฐ

สำหรับการลงทุนในประเทศไทย H&Q ภายใต้การลงทุนผ่านเอช แอนด์ คิว (ประเทศไทย) ก่อตั้งเมื่อปี 2533 เริ่มแรก ได้บริหาร Country Fund มูลค่า 20 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายใต้ชื่อกองทุน Siam Venture Fund โดยเข้าไปลงทุนในธุรกิจต่างๆ ในไทยอย่างมาก มาย อาทิ ส่งออกอาหารทะเล ฟอกหนัง ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ สื่อโฆษณา ก่อสร้าง โรงพยาบาล สื่อสารโทรคมนาคม

"เราเข้าไปมีบทบาทอย่างสูงในการร่วมสนับสนุนให้ภาคธุรกิจต่างๆ สามารถประสบความสำเร็จมากมาย ทำให้ H&Q ได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุน" ดร.ทา-ลิน ชู ประธานกรรมการ เอช แอนด์ คิว เอเชีย แปซิฟิคกล่าว

เหตุผลที่ H&Q เข้าไปร่วมลงทุน เกิดจากบริษัทเหล่านั้น ไม่สามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินได้ เพราะบางโอกาสการกู้เงินอาจเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ใช้เวลานาน และมีความเสี่ยงสูงหากธุรกิจประสบปัญหา

"ทางเลือก ที่กำลังเป็นที่สนใจของนักธุรกิจ คือ รูปแบบธุรกิจเงินร่วมลงทุน" ดร.ทา-ลิน ชูบอก

หลังจาก H&Q ประสบความสำเร็จใน Siam Venture Fund อีก 2 ปี ถัดมาได้ก่อตั้งกองทุนระดับภูมิภาค (Regional Fund) ขึ้นมาภายใต้ชื่อ Asia Pacific Growth Fund LP (APGF) มูลค่ากองทุน 75 ล้านเหรียญสหรัฐ

แม้ในช่วงต้นของกองทุน APGF จะไม่ได้มาลงทุนในไทยมากนัก เนื่องจากติดปัญหาเรื่องภาษีระหว่างประเทศ และอเมริกา (Tax Treaty) "แต่ในที่สุด เราก็มีโอกาสได้ลงทุนถึง 4 ล้านเหรียญสหรัฐ ในธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม คือ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือ TAC" วีรพันธ์ พูลเกษ กรรมการผู้จัดการ เอช แอนด์ คิว ประเทศไทยอธิบาย

ปลายปี 2539 H&Q เปิดกองทุน APGF 2 ด้วยเงินกองทุน 278 ล้านเหรียญสหรัฐ และเริ่มลงทุนในไทยเมื่อกลางปี 2540 ซึ่งเป็นช่วงวิกฤติการณ์ค่าเงินบาท แต่นั่นไม่เป็นปัญหาของบริษัทเพราะมีความเชื่อมั่นในพื้นฐานเศรษฐ-กิจของไทย ประกอบกับการลงทุนแบบ venture capital เป็นการลงทุนระยะยาว จึงนำเม็ดเงิน 40 ล้านเหรียญสหรัฐเข้ามาลงทุน

" ที่ผ่านมาธุรกิจเงินร่วมทุนได้เข้าไปมีส่วนสนับสนุนฟื้นฟูธุรกิจภาคต่างๆ ให้สามารถดำเนินการต่อเนื่องได้อย่างราบรื่น ซึ่งธุรกิจเงินร่วมทุนมีจุดเด่น หลายประการ บริษัท ที่ดำเนินงานทางด้านนี้จะเข้าร่วมลงทุนในภาคเอกชน โดยผ่านการพิจารณา เพื่อเลือกลงทุน คือ มีพื้นฐาน และมีแนวโน้มที่ดีในอนาคต" ดร.ทา-ลิน ชูบอก

สังเกตได้จากแม้ในช่วง ที่บริษัทเหล่านั้น มีปัญหา H&Q ยังต้องแบกรับภาระเหล่านั้น เช่น เข้าไปร่วมลงทุนในบมจ.ไทยเคนเปเปอร์ หรือ TCP ผู้ผลิต กระดาษคราฟท์รายใหญ่รายหนึ่งในประเทศ แต่ประสบปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัวจำนวน 4,834 ล้านบาท และมีเจ้าหนี้ รวม 122 รายจนต้องยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการตนเองต่อศาลล้มละลายกลาง โดยปัญหาดังกล่าว H&Q จะต้องเป็นหัวหอกในการพิจารณาเนื่องจากเป็น ผู้ถือหุ้นใหญ่ และวีรพันธ์ยังนั่งเป็นกรรมการผู้จัดการอยู่ด้วย

อย่างไรก็ตาม ด้วยความเชื่อมั่น ที่มีต่อศักยภาพของภาคธุรกิจในภูมิภาคเอเชียรวมถึงไทย เนื่องจากมองเห็นอัตราการเจริญเติบโตของภูมิภาคนี้ แม้จะเผชิญกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ ที่ส่งผล ต่อเศรษฐกิจ ดังนั้น ต้นปีที่ผ่านมา H&Q ได้ออกกองทุน APGF 3 ด้วยจำนวน เงิน กองทุน 750 ล้านเหรียญสหรัฐ

"เราให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการร่วมฟื้นฟูการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก" ดร.ทา-ลิน ชูกล่าว

สำหรับในไทยกองทุนดังกล่าวได้จัดสรรเงินกว่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐเข้ามาลงทุนแล้ว "เราลงทุนไปแล้วในบมจ.เอสวีไอ เซมิคอนดัคเตอร์ เวนเจอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ SVI" วีรพันธ์กล่าว

สำหรับ SVI ปัญหาก็เหมือนกับ TCP คือ มีหนี้สิน และขาดทุนมาช้านาน "แต่เรามองเห็นโอกาสในระยะยาวในแง่ธุรกิจมีความสดใส และมีตลาดที่ใหญ่ และส่งออกได้" วีรพันธ์บอก ซึ่งปัจจุบัน H&Q ได้เข้าไปช่วยเหลือ SVI ในการเข้าไปปรับโครงสร้างหนี้รวมไปถึงการหาผู้บริหารเข้าไปช่วยทำงานด้วย

ดังนั้น หลังจาก ที่ H&Q เข้าไปร่วมลงทุนกับ TCP และ SVI จึงเกิดคำถามตามมาว่า 10 ปีกับการใช้เม็ดเงิน เกือบ 100 ล้านเหรียญสหรัฐในไทย H&Q ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจต่อนักลงทุนแล้วหรือยัง

ดร.ทา-ลิน ชู จบปริญญาตรีคณะฟิสิกส์จาก The National Taiwan University ปริญญาโทด้านอิเล็กทรอ นิกส์ จาก The Polytechnic Institute of Brooklyn และปริญญาเอกด้านวิศวกรรมไฟฟ้าจาก University of California Berkeley

ในอดีตเคยทำงานกับ IBM Re-search Laboratories เป็นเวลา 12 ปี ตำแหน่งสุดท้ายคือ ผู้จัดการอาวุโส ของ Storage Systems and Technology ในแผนกวิจัยของ IBM

ปี 2528 ได้เข้าร่วมงานกับบริษัท Hambrecht & Quist และได้ก่อตั้งบริษัทบริหารร่วมลงทุนในเอเชีย โดยได้รับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ เอช แอนด์ คิว เอเชีย แปซิฟิค ปัจจุบันขึ้นเป็นประธานกรรมการบริษัท

ด้านวีรพันธ์ จบปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า และวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ และปริญญาโทสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า จากมหาวิทยาลัยโคโรราโด อดีตเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัทไทยเสรีห้องเย็น และเป็นกรรมการสมาคมผู้ผลิต และส่งออกอาหารแช่เยือกแข็งไทย

วีรพันธ์เข้าทำงานในเอช แอนด์ คิว ประเทศไทย เมื่อปี 2533 ปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ และนายกสมาคมไทยธุรกิจเงินร่วมลงทุน ที่ผ่านมาเขาบริหารเงินลงทุนหมุนเวียนในไทยประมาณ 3,500 ล้านบาท



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.