คำแนะนำ 10 ประการ สำหรับการเล่นหุ้นอินเทอร์เน็ต


นิตยสารผู้จัดการ( กันยายน 2543)



กลับสู่หน้าหลัก

คงไม่มีหุ้นกลุ่มไหน ที่ทำให้นักลงทุนทั้งสบายใจ และหวั่นใจได้พร้อมๆ กันเท่ากับหุ้นกลุ่ม อินเทอร์เน็ตอีกแล้ว แรงซื้อขายหุ้นกิจการ ประเภทดอทคอมทำรายได้ให้นักลงทุนในพริบตา แต่ก็อาจทำให้กระเป๋าฉีกได้ทันทีเช่นกัน

อลัน กรีนสแปน ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็ยังถึงกับเอ่ยปากว่า "การลงทุนในหุ้นกลุ่มอินเทอร์เน็ตก็เหมือนกับเล่นล็อตเตอรี่"

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนระยะยาวไม่ควรมองข้ามหุ้นกลุ่มนี้ไปง่ายๆ ลองศึกษาคำแนะนำ 10 ประการต่อไปนี้ จาก ดร.อัลเฟิร์ด แรพพาพอร์ต (Alfred Rappaport) ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทแอล. อี.เค.คอนซัลติ้ง (L.E.K.Consulting) และผู้เขียนหนังสือ "Creating Share-holder Value : A Guide for Managers and Investors ประกอบการตัดสินใจก็ยังไม่สาย แม้ว่าในไทยหุ้นอินเทอร์เน็ต ยังไม่ได้เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ในอนาคตแน่นอนว่ามีให้นักลงทุนเล่นกันแน่นอน

1. ประเมินจากกิจการไม่ใช่จากอินเทอร์เน็ต คงไม่มีข้อสงสัยใดๆ ว่าอินเทอร์เน็ตจะเปลี่ยนรูปโฉมภาคเศรษฐ กิจ สังคม และการเมืองของโลกหรือไม่ แต่นักลงทุนจะไม่มีทางได้กำไรง่ายๆ ด้วยการที่เพียงแค่เข้าไปลงทุนในภาคธุรกิจ ที่เป็นตัวเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจ ที่ว่านี้ นักลงทุนจะต้องระบุให้ได้ว่าบริษัทใด ที่จะประสบความสำเร็จในการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อให้เกิดความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ อันจะส่งผลตอบแทนระยะยาวแก่ผู้ถือหุ้น

นอกจากนั้น ธุรกิจในกลุ่มอินเทอร์เน็ตครอบคลุมกิจการอยู่หลากหลายประเภทด้วยกัน เช่น ธุรกิจค้าปลีก ออนไลน์อย่าง Amazon.com และ eToys เว็บไซต์ ที่เป็นธุรกิจประมูลสินค้า อย่าง eBay บริษัทโบรกเกอร์อย่าง E*Trade ซึ่งให้ข้อมูลแก่ผู้ใช้บริการอย่าง Yahoo! และ Lycos บริษัท ที่พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น Exodus Communiations และ Inktomi

อีกทั้งยังมีผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ที่มีรายได้น้อย ยอดขาดทุนสูง และ มีรูปแบบธุรกิจไม่ชัดเจน แต่ขณะเดียว กันก็มีบริษัท ที่มีกำไรสูงอย่าง Cisco Systems และ American Online นัก ลงทุนจะต้องพิจารณากิจการในกลุ่มนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่ใช่เฮตามกระแสนิยมไปโดยไม่คิดให้รอบคอบเสียก่อน

2. ดู ที่เงินสดหมุนเวียน แม้ว่ารูปแบบธุรกิจของบริษัทอินเทอร์เน็ตจะสร้างมูลค่ากิจการที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง จากบริษัทธุรกิจทั่วไป แต่สิ่งที่เป็นพื้นฐาน ที่นักลงทุนต้องพิจารณาก็คือ ผลตอบ แทนโดยรวมของผู้ถือหุ้น ซึ่งดูได้จากการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นบวกกับเงิน ปันผล ซึ่งในทางกลับกันหุ้นก็จะมีค่าเท่ากับมูลค่าปัจจุบันของเงินสดหมุน เวียน ที่สร้างรายได้ให้กับผู้ถือหุ้น

หากไม่มีการคาดหมายถึงปริมาณเงินสดหมุนเวียนแล้ว ราคาหุ้นของกิจการนั้น ก็จะทรุดดิ่งอย่างแน่นอน ทั้งนี้เงินสดหมุนเวียนในกรณีของนักลงทุน หมายถึง กำไร ที่เป็นเงินสดหักค่าใช้จ่าย ที่เป็นเงินสดออก โดยมาจากการลงทุนในส่วนของทุนดำเนินการ และต้นทุนคง ที่

นักลงทุน ที่พิจารณาแต่การเติบ โตของกำไรต่อหุ้นอาจมองข้ามแหล่งเงินทุนสำคัญของบริษัทอินเทอร์เน็ตไปได้ หากเปรียบเทียบสถานการณ์เงินสดของบาร์นส์แอนด์โนเบิล (Barnes & Noble Inc.) และอเมซอน.คอม (Amazon. com) จะพบว่าในภาวะ ที่บาร์นส์แอนด์โนเบิลมีตัวเลขกำไรเงินสดที่ดี การลง ทุนในด้านคลังสินค้า และร้านค้าได้ขยาย เพิ่มขึ้น แต่หลังจาก ที่นำกิจการเข้าตลาด ในปี 1993 กิจการสาขากลับไม่ทำกำไรในรูปเงินสดในระดับที่ดี

ส่วนอเมซอน.คอม ประสบการขาดทุนมหาศาลด้านการตลาด เพื่อสร้าง ฐานลูกค้า และความรับรู้ชื่อยี่ห้อสินค้า แต่อเมซอนกลับมีรายได้เงินสดจากส่วน ของทุนดำเนินการ เนื่องจากเรียกเก็บเงินสดจากการขายได้ก่อน ที่จะชำระให้กับซัปพลายเออร์ และเมื่อสร้างคลังสินค้ากับศูนย์จำหน่ายเพิ่มเติมก็ทำให้กลายเป็นกิจการที่เติบโตอย่างพุ่งพรวด โดยมียอดลงทุนน้อย อย่างไรก็ตามมูลค่าของอเมซอนในระยะยาว ก็ยังขึ้นอยู่กับความสามารถในการเปลี่ยนแปลงยอดขาดทุนดำเนินการให้เป็นกำไรด้วย

3. ลืมเครื่องมือวิเคราะห์แบบเดิมได้เลย นักลงทุนส่วนใหญ่ละเลยในเรื่องการคาดการณ์เงินสดหมุนเวียนระยะยาว เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก และมักสนใจแต่การคาดการณ์การเติบโตของกำไรระยะสั้น และตัวเลขเช่น ค่า P/E และราคาต่อยอดขาย ซึ่งตัวเลข เหล่านี้ใช้เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ได้ก็ต่อเมื่อพิจารณาการคาดหมายเงินสดหมุน เวียนในระยะยาวด้วย

อย่าลืมว่า ในกรณีของบริษัทอินเทอร์เน็ต ที่มีศักยภาพเติบโตสูงเป็นพิเศษ แต่ยังไม่มีรายได้ ที่เป็นเงินสด เนื่องจากมีต้นทุนในการเริ่มต้นกิจการสูง และยังไม่มียอดขาย ที่โดดเด่น นักลงทุนคงไม่อาจใช้เกณฑ์พิจารณาหุ้นแบบเดิมๆ มาประเมินค่าของหุ้นกลุ่มนี้

4. ระวังเครื่องมือวิเคราะห์ ที่นำมาใช้ทดแทน เมื่อเครื่องมือวิเคราะห์หุ้น แบบเก่าเริ่มใช้ไม่ได้ผล นักวิเคราะห์วอลล์สตรีทได้หันมาใช้เครื่องมือทดแทน อื่นๆ เช่น มูลค่าตลาดต่อลูกค้า เป็นต้น แต่ก็อาจใช้ได้ไม่ดีนักในการจำแนกความ แตกต่างระหว่างหุ้น ที่ราคาต่ำกว่าความเป็นจริงกับหุ้น ที่ราคาสูงเกินจริง

ตัวอย่างเช่น เมื่อราคาหุ้นของ Yahoo! อยู่ ที่ 1,200 ดอลลาร์ต่อหุ้น หรือ คิดเป็นสามเท่าของราคาหุ้นของ CNETInc. และทั้งสองบริษัทต่างก็พึ่งรายได้หลักจากโฆษณา ข้อมูลเพียงเท่านี้ ยังบอกไม่ได้ว่าควรซื้อหุ้นของ Yahoo! หรือไม่ และบอกไม่ได้เช่นกันว่า ควรซื้อ หุ้นของ CNET มากกว่าหรือเปล่า

ทั้งนี้เพราะการเปรียบเทียบค่า พีอีกับมูลค่าตลาดหรือลูกค้าเป็นการเปรียบเทียบสิ่งที่ต่างกัน และเป็นการเปรียบเทียบการคาดการณ์ระยะยาว ที่สะท้อนจากมูลค่าตลาดโดยมีฐานลูกค้าปัจจุบันอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งฐานลูกค้าก็บอกเราน้อยมากเกี่ยวกับการคาดหมายเงินสดหมุนเวียนในระยะยาวของบริษัท

ดังนั้น การประเมินเงินสดหมุน เวียน และมูลค่าของ Yahoo! ในอนาคต จึงต้องมุ่งตอบคำถามเหล่านี้เช่น แหล่งรายได้หลักของ Yahoo! (เช่นโฆษณา อี-คอมเมิร์ซ และการประมูล) จะเติบโตได้รวดเร็วแค่ไหนทั้งระดับในประเทศ และระดับโลก Yahoo! ยังมีช่องทางราย ได้อื่นๆ หรือไม่ เมื่อเป็นไซต์หลักของอินเทอร์เน็ต และชื่อติดตลาดแล้วจะมีการลงทุนใหญ่ๆ รวมทั้งการซื้อกิจการอื่น ต่อไปหรือไม่ ฝ่ายบริหารจะสามารถควบ คุมค่าใช้จ่ายได้หรือไม่ เมื่อองค์กรขยายตัว และมีสิ่งที่น่าหวั่นวิตกอะไร ที่บริษัทจะต้องเผชิญในการแข่งขันต่อไป

5. ประเมินผลงาน ที่จำเป็นในการ พิจารณาราคาหุ้น การพิจารณาเงินสดหมุนเวียนระยะยาวของบริษัทอินเทอร์เน็ต ที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และเป็นธุรกิจ ที่มีความผันผวนอย่างยิ่ง นับเป็นเรื่อง ที่ทำได้ยาก แต่ก็มีผู้เสนอให้กำหนดระดับของผลประกอบการในอนาคต ที่จำเป็นในการประเมินราคาหุ้นกิจการในปัจจุบัน แล้วจึงประเมินว่าผลประกอบการของบริษัทมีแนวโน้ม ที่จะใช้ประเมินการคาดหมายของตลาดเพิ่มขึ้นในอนาคตได้หรือไม่

ทั้งนี้ นักลงทุนต้องเข้าใจว่าการคาดการณ์นั้น ถูกจำกัดด้วยราคาหุ้นปัจจุบัน ผู้ที่คาดการณ์การเปลี่ยนแปลงแนวโน้มธุรกิจ ที่ไม่อาจเห็นได้จากราคาหุ้นปัจจุบันได้เท่านั้น จึงจะได้ผลกำไรดีกว่าคนอื่น

หากดูกรณีอเมซอน.คอม เป็นตัวอย่าง กิจการนี้พุ่งแรงจากจุดตั้งต้นเมื่อปี 1995 จากร้านหนังสือออนไลน์กลายมาเป็นผู้ค้าปลีกออนไลน์ใหญ่ที่สุด ในโลก โดยที่ขยายธุรกิจไปสู่ด้านดนตรี วิดีโอ ของเล่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์เครื่องแต่งบ้าน ซอฟต์แวร์ และการประมูลจนมีลูกค้าราว 16.9 ล้านราย

นักลงทุนต่างเฮโลกันซื้อหุ้นอเมซอน.คอมจนมูลค่าทุนจดทะเบียนในตลาดสูงถึงเกือบ 22,000 ล้านดอลลาร์ และราคาหุ้นปิด ที่ราว 63.5 ดอลลาร์ต่อหุ้น เมื่อช่วงเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา แต่เราจะประเมินราคาหุ้นบริษัทนี้จากผลประกอบการในอนาคตได้อย่างไร

จากข้อมูลในอดีต และการคาดการณ์อนาคตของ "Value Line Invest-ment Survey" และนักวิเคราะห์วอลล์ สตรีทระบุว่า การคาดหมายผลประกอบ การ 5 ปีที่จัดทำขึ้นโดยพิจารณาด้านของ เงินสดหมุนเวียนอาจดูได้จากการเติบโต ของยอดขาย ส่วนต่างกำไรการดำเนินการ ทุนดำเนินการ และการลงทุนคง ที่ แต่ การพิจารณาควรขยายไปถึงการคาดหมายเกี่ยวกับกำไรจากการดำเนินการ และการลงทุนในรอบ 5 ปี แล้วคำนวณเป็นมูลค่าด้วย ซึ่งได้แก่ การเติบโตของยอดขายต่อปีในช่วงปี 2005-2009 เพื่อประเมินราคาหุ้นปัจจุบันของอเมซอน. คอม ซึ่งคำตอบ ที่ได้จะอยู่ ที่ราว 35% และ เป็นระดับ ที่ยอดขายควรจะอยู่ ที่ 105 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2009 เมื่อเปรียบเทียบกับราว 1.6 พันล้านดอลลาร์ในปี 1999 และนี่เป็นตัวเลข ที่สูงกว่าอย่างมาก จากการคาดหมายอัตราเติบโตของยอดขายในช่วง 5 ปีแรกของการคาดหมายระยะ 10 ปีที่ระดับ 48%

เมื่อบริษัทต่างๆ ขยายกิจการ การรักษาอัตราการเติบโตของยอดขายจะเป็นเรื่องยากหากไม่มีแหล่งรายได้ใหม่ และหากอัตราเติบโตของยอดขายยังอยู่ ที่ 40% แทน ที่จะเป็น 55% ตามการคาดหมายจากราคาหุ้นแล้ว มูลค่าของอเมซอนจะตกลงเหลือราว 35 ดอลลาร์ จาก ระดับ 64 ดอลลาร์ต่อหุ้น

แม้ว่าอัตราเติบโตของยอดขายจะอยู่ ที่ 40% อเมซอนก็จะต้องมีส่วนแบ่ง ตลาดในธุรกิจหลากหลายประเภท และหมายความว่าอเมซอนจะต้องสามารถทำ กำไรจากการดำเนินการก่อนหักภาษีได้เกือบ 8% ในภาวะ ที่การแข่งขันจะสูงขึ้น

6. ประเมินค่าส่วนเกินของหุ้นให้ดี อาจจะเป็นการผิดพลาดหากด่วนสรุปว่า ความแตกต่างระหว่างราคาหุ้น ที่ ระดับ 64 ดอลลาร์ต่อหุ้นของอเมซอน. คอม และมูลค่าหุ้น ที่ 35 ดอลลาร์ แสดง ให้เห็นถึงมูลค่าหุ้น ที่สูงเกินจริง เพราะว่ามูลค่าหุ้น ที่คาดหมาย ที่ 35 ดอลลาร์ไม่ได้พิจารณาถึงมูลค่าของโอกาสในอนาคตไว้ด้วย

ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา อเมซอนได้ ขยายสู่ธุรกิจใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการขยาย ฐานลูกค้า ชื่อยี่ห้อ และระบบพื้นฐานด้าน ข้อมูลที่พัฒนา เพื่อธุรกิจหนังสือ สิ่งเหล่า นี้คือ ความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ ซึ่งเมื่อผนวกกับการลงทุนใหม่ๆ ในด้านการจัดจำหน่าย ที่จะช่วยให้มียอดขายเพิ่มขึ้นแล้ว ก็ทำให้อเมซอนเป็นกิจการที่มีอนาคตทีเดียว

นอกจากนั้น ยังมีประเด็น ที่ต้องขบคิดต่ออีกมากเช่น อนาคตของอีคอมเมิร์ซจะเป็นอย่างไร อเมซอนจะเอาชนะอุปสรรคทางด้านวัฒนธรรม และสถาบัน แล้วขยายธุรกิจนี้ในระดับโลกได้หรือไม่ ธุรกิจประเภทคิดค่าธรรมเนียมบริการจะเสริมในส่วนของการประมูลทางอินเทอร์เน็ตได้หรือไม่ และจะขยายฐานข้อมูลลูกค้าอย่างไร

ทั้งหมดนี้เป็นการประเมินราคาหุ้นตามความเป็นจริง และเป็นงาน ที่ยาก และท้าทาย แต่หากนักลงทุนไม่พิจารณา ก็จะขาดฐานข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ว่าราคาหุ้นปัจจุบันนั้น คิดรวมเอามูลค่าเพิ่ม ที่สมเหตุสมผลของหุ้นด้วยหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่ราคาหุ้น ที่สูงเกินจริงโดยไม่มีฐานรองรับ

7. ประเมินผลการดำเนินงาน ที่จำเป็นในการพิจารณาราคาเป้าหมาย

นักลงทุนบางคนเชื่อตามกฎของมัวร์ ที่กอร์ดอน มัวร์ ผู้ก่อตั้งอินเทล คอร์ป เคยบอกให้คาดการณ์อำนาจของคอมพิวเตอร์เพิ่มสองเท่าตัวทุกๆ หนึ่งปีครึ่ง แล้วนักลงทุนกลุ่มนี้ก็ได้นำไปปรับใช้กับราคาหุ้นบริษัทอินเทอร์เน็ต แต่ ที่จริงแล้ว นักลงทุนควรจะประเมินผลประกอบการด้านการดำเนินงาน ที่จำเป็นในการทำให้ศักยภาพของธุรกิจเพิ่มขึ้นควบคู่กันไปด้วย

หันมาดูตัวอย่างอเมซอนอีกครั้ง สมมติว่าราคาเป้าหมายของคุณอยู่ ที่ราว 50% สูงกว่าราคาหุ้นปัจจุบัน ที่ 64 ดอล ลาร์ต่อหุ้น หรือเท่ากับ 96 ดอลลาร์ การ ประเมินราคาหุ้นจะต้องดูว่ายอดขายจะโต 67% ต่อปีในช่วงปี 2005-2009 โดยมียอดขาย ที่ 154 พันล้านดอลลาร์ในปี 2009 ดังนั้น การตั้งเป้าหมายราคาไว้สูงๆ จึงทำให้ต้องมีผลประกอบการสูงจนน่ากลัว ซึ่งต้องมีพื้นฐานความเป็น จริงรองรับด้วย

8. อย่ามองข้ามต้นทุน ที่เป็นหุ้นตอบแทนพนักงาน ทุกวันนี้การให้ผลตอบแทนพนักงานในรูปของหุ้นกิจการเป็นส่วนหนึ่งของระบบผลตอบแทน ที่สำคัญ โดยเฉพาะในธุรกิจ ที่อิงกับการใช้ความรู้ ที่ต้องแข่งขันกันดึงตัวพนักงาน ที่มีความสามารถ และรักษาพนักงานไว้กับองค์กร

นักวิเคราะห์พบว่าบริษัทอินเทอร์ เน็ตชั้นนำ 10 แห่งมีสัดส่วนการสำรองหุ้นกิจการให้เป็นผลตอบแทนกับพนักงานราว 30% และอาจสูงถึง 44% ด้วย ประเด็น ที่ต้องคิดก็คือ การให้ผลตอบ แทนในรูปหุ้นหมายถึงสัดส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นด้วย จึงไม่ควรละเลยในเรื่อง ของต้นทุน ที่จะมีผลให้ราคาหุ้นสูงเกินจริง

กรณีของอเมซอนได้รวมต้นทุน ในเรื่องผลตอบแทนในรูปหุ้นพนักงาน ไว้ในมูลค่าของกิจการแล้ว หากบริษัทละเลยการพิจารณาในประเด็นนี้ นักลง ทุนก็อาจคำนวณยอดขายของอเมซอนในปี 2005-2009 ว่าจะต้องโตในอัตรา 46% แทน ที่จะเป็น 55% ต่อปี ซึ่งจะทำให้ การประเมินมูลค่าหุ้นบิดเบือนไปด้วย

9. ระวังความเสี่ยงจากราคาหุ้น ราคาหุ้น ที่ลดลงอาจส่งผลต่อความสามารถของกิจการในการออกหุ้นใหม่ ที่จำเป็นสำหรับการระดมทุน เพื่อให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์การเติบโตของบริษัท บริษัทไฮเทคหน้าใหม่ ที่มีโอกาสในการกู้เงินน้อย จึงต้องอาศัยช่องทางระดมทุนจากการขายหุ้น แต่หากราคาหุ้นย่ำแย่กิจการก็ระดมทุนไม่ได้อีก

ทีมบริหารระดับสูงจึงต้องรู้จักโน้มน้าวตลาดให้ได้ว่าธุรกิจมีความแข็ง แกร่ง และมีแนวโน้ม ที่ราคาหุ้นจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต แม้ว่าขณะนี้จะประสบขาดทุนก็ตาม ขณะที่นักลงทุนเองก็ต้องรอบคอบไม่ใช่ดูแค่ความเสี่ยงจากการดำเนินการธุรกิจปกติ แต่ต้องดูความเสี่ยงจากราคาหุ้น ที่ลดลงด้วย

10. กระจายความเสี่ยงของหุ้นกลุ่มอินเทอร์เน็ต หากพิจารณาธุรกิจ ที่อยู่ในตลาดจะพบว่าในทุกๆ 10 บริษัท จะมีสองหรือสามรายที่อยู่รอด กิจการบางแห่งจะเติบโตต่อไปได้ และอีกสองรายถูกซื้อไป ส่วนที่เหลือก็พับฐานเลิกกิจการในที่สุด

นักลงทุนจึงควรกระจายความเสี่ยงของหุ้นกลุ่มนี้ โดยลงทุนในหุ้น ที่มีโอกาสดีเยี่ยม ที่จะยึดครองพื้นที่ความได้เปรียบ และถือหุ้นเหล่านี้ไว้จนกว่าจะถูกคุกคามจากเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าลืมว่าผลกำไรจากการขายหุ้นดังกล่าวสามารถนำไปลงทุนใหม่ในกิจการที่เป็นคู่แข่ง ที่มีแนวโน้มจะเป็นผู้ชนะในอนาคต

เมื่อรวมข้อคิดทั้ง 10 ข้างต้นกับการกระจายความเสี่ยงในข้อสุดท้ายนี้แล้ว นักลงทุนในหุ้นกลุ่มอินเทอร์เน็ตคงลงทุนได้อย่างมั่นใจขึ้นกว่าเดิม

ข้อมูลจากเดอะ วอลล์สตรีท เจอร์นัล



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.