จะว่าไปแล้ว เขาอาจไม่ใช่คนที่ได้ชื่อว่า ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในแวดวง
"สื่อ" แต่สนธิญาณก็เป็นกลไกสำคัญ ที่สร้างความเปลี่ยนแปลง และสร้างสีสันให้กับ
"สื่อวิทยุ" มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
หากพลิกย้อนไปถึงปูมหลัง ชีวิตของ เขาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดขึ้นจากความพยายามและบากบั่นมาแล้วทั้งสิ้น
สนธิญาณ ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านจุดต่ำสุดและสูงสุด ของชีวิตการทำงานมาแล้วหลายครั้งหลายหน
จากอดีตนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยรามคำแหงธรรมดาๆ ที่มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัด
ภาคใต้ของเมืองไทย สนธิญาณได้ชื่อว่าเป็น นักกิจกรรมตัวยง และจากการเป็นนักกิจ
กรรมนี้เองทำให้เขามีโอกาสร่วมงานกับจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
กลายเป็นจุดหักเหที่ทำให้สนธิญาณได้มีโอกาสกระโดดเข้าสู่งานชิ้นสำคัญๆ ทางด้านสื่อโทรทัศน์และวิทยุ
จากแรงสนับสนุนของจิรายุ ซึ่งสนธิญาณก็ได้ชื่อว่า เป็นคนหนึ่งที่จิรายุไว้วางใจ
และเรียกใช้งานมาตลอด
สนธิญาณเข้าสู่ชีวิตนักข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 สมัยที่ประชา มาลีนนท์
ลูกชายคนรองของวิชัย มาลีนนท์ยังคุมงานทางด้านข่าวของสถานี จากนั้นเขาก็โลดแล่นอยู่บนเส้นทางถนนน้ำหมึก
ร่วมกับชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ ทำหนังสืออาทิตย์วิเคราะห์
พร้อมกันนี้ สนธิญานก็เข้าสู่เส้นทางธุรกิจวิทยุ จัดตั้งสำนักข่าวไอเอ็นเอ็นขึ้นผลิตข่าว
24 ชั่วโมงสร้างความฮือฮาให้กับวงการสื่อด้านวิทยุอย่างมากในช่วง 5-7 ปีที่แล้วแต่
กว่าจะสร้างชื่อขึ้นมาได้ ไอเอ็นเอ็นก็ต้องผ่านร้อนผ่านหนาว มาไม่น้อย ด้วยสไตล์การจัดรายการที่เน้นความร้อนแรงวิเคราะห์เจาะลึกในประเด็นแง่มุมต่างๆ
และจากประเด็นข่าวร้อนๆ ที่ไปเกี่ยวข้องกับความไม่ชอบมาพากลของนักการเมืองบางคน
ทำเอาไอเอ็นเอ็นต้องหลุดออกจากหน้าปัดวิทยุมาแล้วหลายครั้งหลายหน
เส้นกราฟชีวิตของสนธิญาณดูจะพุ่งสูงขึ้น ก็เมื่อครั้งที่สำนักทรัพย์สินฯ
ก้าวเข้าสู่กิจการทางด้าน "สื่อ" ในนามของสยามทีวี แอนด์เทเลคอมมิวนิเคชั่น
สนธิญาณ ได้รับมอบหมายจากจิรายุให้เข้ามารับงานชิ้นนี้ ซึ่งเขามีส่วนร่วมกับทีมของ
จุลจิตต์ บุณยเกตุ ในการทำข้อเสนอในการยื่นประมูล จนกระทั่งสามารถคว้างานประมูลมาได้
ความหวังอย่างแรงกล้าของสนธิญาณในการกระโดด สู่สยามทีวีก็คือ การที่เขาจะได้เป็นผู้ผลิตข่าวทีวีให้กับ
สยามทีวี ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาใฝ่ฝันไว้นาน เพราะเป็นสื่อเดียวที่ เขายังไม่มีโอกาสทำสำเร็จเสียที
ก่อนหน้านี้ในช่วงที่ไอเอ็นเอ็น ไปมีสายสัมพันธ์กับมีเดียพลัส ก็เคยมีการตกลงจะผลิตข่าวป้อนให้ไทยสกายทีวีมาแล้ว
แต่ก็ต้องล้มเลิกไปทั้งๆ ที่สนธิญาณก็ซื้อเครื่องมือมารอท่าไว้แล้ว
แต่แล้วความฝันของเขาก็ต้องสลายเป็นครั้งที่ 2 ด้วยความไม่ลงตัวของผู้บริหารสยามทีวีที่เกิดปัญหามาตลอด
ประกอบกับสไตล์การทำงาน และบุคลิกที่แตกต่างจากผู้บริหารของสยามทีวี อื่นๆ
ที่มาจากนายแบงก์ อดีตผู้บริหาร ในสายคอมพิวเตอร์ โทรคมนาคม ทำให้สนธิญาณต้องยื่นใบลาออก
ตามหลังจากที่จุลจิตต์ยื่นใบลาออกกลับไปไทยออยล์ได้ไม่นาน
สนธิญาณกลับไปปักหลักใหม่กับไอเอ็นเอ็นอีกครั้ง แม้ว่าคลื่นข่าวของไอเอ็นเอ็นยังสามารถจับกลุ่มผู้ฟังได้เหมือน
เดิม แต่ปัญหาครั้งนี้ไม่ง่ายเหมือนครั้งก่อน เมื่อต้องมาเจอกับเรื่องเงินลงทุน
เพราะสำนักทรัพย์สินฯ เองก็บอบช้ำ ขาดทุนกับธุรกิจทางด้านสื่อ และโทรคมนาคมมาไม่น้อย
จึงต้องการลดการลงทุนในธุรกิจทางด้านนี้ลงทั้งหมด สนธิญาณจึงต้องหาพันธมิตรรายใหม่มาร่วมลงทุนในไอเอ็นเอ็นแทนสำนักทรัพย์สินฯ
ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่กลุ่ม ยูคอมกำลังต้องการสยายปีกมาในธุรกิจทางด้านบรอดคาสติ้ง
ยูคอมจึงกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในไอเอ็นเอ็น โดยสนธิญาณไปนั่งในตำแหน่งประธานกรรมการบริหารดูแลทางด้านนโยบาย
แน่นอนว่าหลังจากการเข้ามาของผู้ถือหุ้นรายใหม่ การเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดขึ้น
ในวันนี้ แม้เขาจะโบกมือลาจากไอเอ็นเอ็น บริษัทที่เขาตั้งขึ้นมาจากผลิตผลทางความคิดที่ต้องการมีคลื่นข่าววิทยุ
ตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว และต้องกลับไปนั่งเหงาๆ อยู่ที่มูล นิธิฯ ของสำนักทรัพย์สินฯ
แต่ถัดจากนั้นไม่กี่เดือนสนธิญาณ ก็กลับมาโลดแล่นบนหน้าปัดวิทยุอีกครั้ง
และยังไม่ยอมทิ้ง ความเป็นคลื่นข่าว เพียงแต่ครั้งนี้จับเฉพาะกลุ่มผู้หญิงเท่านั้น
สนธิญาณรวบรวมสมัครพลพรรคในไอเอ็นเอ็นกว่า 40-50 ชีวิตที่ลาออกตามมา จัดตั้งเป็นสำนักข่าวใหม่
ใช้ชื่อ
ว่าไทยซิติเซ่น อินดิเพนเดนท์ นิวส์ เน็ทเวิร์ค หรือ ทีไอเอ็น จากนั้นก็ไปขอความช่วยเหลือจากเจ้านายเก่าอย่างประชา
มาลีนนท์ เพื่อขอคลื่น 99.5 เมกะเฮิรตซ์ที่ช่อง 3 ประมูลมาได้เมื่อปีที่แล้วนำมาทำเป็น
"คลื่นผู้หญิง หรือ WOMAN WAVE" ซึ่งจะเริ่มออกอากาศในวันที่ 1 มกราคม
2542 นี้
คลื่นผู้หญิงตามคอนเซ็ปต์ของสนธิญาณ คือ คลื่นข่าวสารที่เป็นเรื่องราวของผู้หญิงโดยเฉพาะ
ซึ่งจะถูกนำเสนอ ในทุกๆ แง่มุมในทุกๆ ด้านของผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ
สังคม หรือ การเมือง และแน่นอนว่าการนำเสนอจะต้องยังคงความร้อนแรง และเกาะติดกับสถานการณ์ข่าวสารอย่างปัจจุบันทันด่วนเหมือนอย่างที่เคยทำมา
"สังคมไทยที่แล้วมาไม่ได้เปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้แสดง ศักยภาพที่มีอยู่เท่าไหร่
หลายๆ อย่างถูกมองข้ามไปแต่ราย การนี้จะสะท้อนให้เห็นถึงพลังของผู้หญิงที่จะถูกนำออกมาให้เห็นอย่างแท้จริง"
สนธิญาณกล่าวถึงที่มาของคลื่นผู้หญิง
เพื่อตอกย้ำความเป็นคลื่นผู้หญิง ทีมงาน อย่างผู้จัดรายการ นักข่าว ทั้งหมดจะต้องเป็นผู้หญิงทั้งหมด
ยก เว้นทีมงานเบื้องหลังที่มีผู้ชายปะปนอยู่ด้วย ซึ่งทีมผู้จัดรายการ จะมีกลุ่มคนหลายประเภท
ทั้งผู้จัดรายการอย่าง ศิริพร สงบธรรม เสาวณีย์ ลิมมานนท์ อดีตแอคติวิสต์ชื่อดังยุค
14 ตุลาคม อาจารย์ชลิดาพร รวมทั้งผู้หญิงในแง่มุมของวัยรุ่นสาวเปรี้ยว หรือแม้แต่
แม่ชีศันษนีย์
ตัวเลขของประชากร 50% ของพลเมือง ทั้งหมดที่เป็นผู้หญิง รวมทั้งนิตยสารผู้หญิงที่ยังขายดิบขายดีบนแผงหนังสือ
คือ ข้อมูลเบื้องต้นที่สนธิญาณแสดงความเชื่อมั่นต่อคลื่นผู้หญิง ที่ไม่เพียงแค่จะมุ่งสร้างความแตกต่างเท่านั้น
แต่จะต้องมีจำนวนผู้ฟังที่สามารถการันตีได้
"ไม่ใช่แค่กลุ่มผู้หญิงเท่านั้น แต่กลุ่ม ผู้ชายก็ต้องหันมาฟังว่า มีอะไรอยู่ในคลื่นนี้
ทำไมผู้หญิงเขาถึงฟังกัน ก็เหมือนกับนิตยสาร ผู้หญิงบางเล่มที่ถูกผู้ชายซื้ออ่านอย่างครึก
โครม" นี่คือ สิ่งที่สนธิญาณมองเห็น
ลึกลงไปกว่านั้น คือ โฆษณาสินค้าที่เกี่ยวกับผู้หญิง ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากมาย
ในตลาด คำตอบโจทย์ในแง่มุมของธุรกิจที่สนธิญาณเชื่อว่า จะทำให้คลื่นผู้หญิงมีรายได้จากโฆษณามาหล่อเลี้ยงรายได้ให้กับคลื่น
นี้ได้
6 เดือนเต็ม คือ ระยะเวลาที่สนธิญาณเชื่อมั่นว่า คลื่นผู้หญิงจะเกิดขึ้นได้ในสังเวียนคลื่นข่าวบนหน้าปัดวิทยุ
"ผมกล้ารับประกันเลยว่า ต้องเกิดได้ใน 6 เดือน และจะร้อนแรงยิ่งกว่า ไอเอ็น
เอ็นเคยทำมาแน่นอน" คำกล่าวรับประกันสั้นๆ ของสนธิญาณ ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นตัวตนของเขา
ที่พร้อมจะกลับมาสร้างสีสันใหม่บนหน้าปัดวิทยุอีกครั้ง