แม้ชื่อมิสทินจะเป็นที่ติดตลาดของคนเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ผู้ใช้สินค้า ซึ่งมีหลายระดับ
สาวมิสทิน ที่มีอยู่ทั่วประเทศในขณะนี้กว่า 4 แสนคน โดยเฉพาะคนในวงการธุรกิจเครื่องสำอางด้วยกัน
แต่ก็มีคนอยู่เป็นจำนวนไม่มากนัก ที่จะนึกถึงเครือสหพัฒนพิบูล เวลา ที่มีการกล่าวถึงบริษัทเบทเตอร์เวย์
เจ้าของ ธุรกิจขายตรงเครื่องสำอาง "มิสทิน" ทั้งๆ ที่เครือสหพัฒน์ถือหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัทนี้ถึง
60%
"คนส่วนใหญ่มองว่ามิสทินคือ คุณอมรเทพ" คนที่ติดตามความเคลื่อนไหวของมิสทินมาอย่างต่อเนื่อง
กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
อมรเทพ ดีโรจนวงศ์ ลาออกจากกรรมการผู้จัดการ บริษัทเอวอน คอสเมติกส์ ผู้ดำเนินธุรกิจขายตรงเครื่องสำอาง
เพื่อมาตั้งบริษัทเบทเตอร์เวย์ เมื่อปี 2531
การลาออกของเขาจากเอวอนในครั้งนั้น ว่ากันว่าเนื่องจากเขาเห็นว่าธุรกิจขายตรงเครื่องสำอาง
เป็นธุรกิจ ที่สามารถทำรายได้ได้อย่างมหาศาล แต่ถึงที่สุดแล้วเม็ดเงินจากธุรกิจนี้ก็ไม่ได้ตกอยู่ในไทย
เพราะต้องถูกส่งกลับไปยังบริษัทแม่ในต่างประเทศ
ดังนั้น เพื่อเฉลี่ยให้เม็ดเงินก้อนนี้ได้หมุนเวียนอยู่ในประเทศไทย เขาจึงตัดสินใจลาออก
เพื่อตั้งบริษัทขึ้นมาทำธุรกิจอย่างเดียวกัน
ซึ่ง 1 ในกลุ่มธุรกิจ ที่เขาชักชวนเข้ามาเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทเบทเตอร์เวย์ด้วยก็คือ
เครือสหพัฒน์ เนื่องจากเขามีสาย สัมพันธ์ที่ดีกับบุญเกียรติ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล
คอสเมติกส์ (ไอซีซี) บริษัทผู้ผลิต และจำหน่ายเครื่องสำอางในเครือสหพัฒน์
เครือสหพัฒน์ถือหุ้นอยู่ในบริษัทเบทเตอร์เวย์ในสัดส่วน 60% ขณะที่อมรเทพ
และคนในตระกูลดีโรจน วงศ์ ถือหุ้นเพียง 35% ส่วน ที่เหลืออีก 5% เป็นบุคคลภายนอก
การออกมาก่อตั้งบริษัทเบทเตอร์เวย์ของเขา ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง
เพราะสามารถผลักดันยอดขาย เครื่องสำอางมิสทินให้เพิ่มสูงขึ้นมาถึงระดับปีละ
2,000 ล้านบาท ได้ในระยะเวลาเพียง 12 ปี และสามารถสร้างเครือข่ายผู้แทนจำหน่าย ที่เรียกว่าสาวมิสทินได้ถึง
4 แสนคน
ที่สำคัญมิสทินได้เขย่าวงการธุรกิจขายตรงให้เกิดการสั่นสะเทือนด้วยการยิงภาพยนตร์โฆษณาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งๆ ที่ธุรกิจนี้ ที่ผ่านมา ไม่นิยมการโฆษณาผ่านสื่อมากนัก
โฆษณาของมิสทิน ที่ออกมาแต่ละชุด สามารถดันยอดขายเครื่องสำอางให้เพิ่มสูงขึ้นได้ถึงประมาณ
20% ดึงให้ผู้ประกอบธุรกิจขายตรงรายอื่น แม้แต่แอมเวย์ จำเป็นต้องออกมาใช้สื่อโฆษณาทางโทรทัศน์เช่นกันด้วย
ด้วยความ ที่อมรเทพเป็นผู้ที่มีบทบาทหลัก ในการวางกลยุทธ์การจำหน่ายของมิสทิน
เริ่มตั้งแต่การทำให้คำว่ า"มิสทินมาแล้วค่ะ" ติดหูของผู้บริโภค ตลอดจนการวางตำแหน่งของ
สาวมิสทินใหม่ ที่สามารถสร้างรายได้จำนวนมาก จากการขาย ตรงเครื่องสำอาง แม้กระทั่งคอนเซ็ปต์ในการโฆษณา
ทำให้คน ทั่วไปมองว่าอมรเทพคือ มิสทิน หรือมิสทินคือ อมรเทพ ดีโรจนวงศ์
"คอนเซ็ปต์การโฆษณาแต่ละชุด ไม่ว่าจะเป็นชุดผีเสื้อสมุทร
หรือเต่าเรียกแม่ ซึ่งได้รับความนิยมสูงมาก คุณอมรเทพคือ ผู้ที่มีส่วนผลักดันความคิดสร้างสรรค์อยู่เบื้องหลัง"
คนในมิสทินเล่ากับ "ผู้จัดการ"
ดังนั้น เมื่อคนที่เป็นหัวใจหลักขององค์กร ต้องเสียชีวิต ลงด้วยวัยเพียงไม่ถึง
60 ปี ทำให้หลายคนต้องเริ่มตั้งข้อสงสัย แล้วว่าอนาคตของมิสทินในช่วงหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร
แม้ว่าคนในตระกูลดีโรจนวงศ์หลายคน ได้เข้ามามีบทบาทอยู่ในบริษัทเบตเตอร์เวย์มาก่อนแล้วในช่วง ที่อมรเทพยังมีชีวิตอยู่
ไม่ว่าจะเป็นสุรพล ดีโรจนวงศ์ น้องชายของอมรเทพ ซึ่งเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย
ดนัย และดิเรก ดีโรจนวงศ์ ลูก ชาย ที่เป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ แต่การที่จะผลักดันให้คนเหล่านี้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานกรรมการของบริษัทในทันทีอาจดูเร็วเกินไป
การดึงบุญเกียรติ โชควัฒนา เข้ามาแทนตำแหน่งของอมรเทพ จึงดูจะมีความเหมาะสมมากกว่า
ทั้งด้านวัยวุฒิ และ บารมีในวงการธุรกิจ
และถือเป็นการเปิดภาพความสัมพันธ์ของเครือสหพัฒน์ ในบริษัทเบตเตอร์เวย์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
" ที่ผ่านมา เนื่องจากสหพัฒน์เอง ก็ทำธุรกิจขายเครื่องสำอางอยู่แล้ว
การจะออกหน้าในมิสทินอีก อาจสร้างความสับสนให้กับลูกค้า บทบาทส่วนใหญ่จึงอยู่กับคุณอมรเทพ"
คนในสหพัฒน์เล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังถึงสาเหตุที่สหพัฒน์ไม่แสดงบทบาทถึงความมีส่วนเป็นเจ้าของมิสทินมากนักในช่วง ที่ผ่านมา
แต่ในวันนี้ สหพัฒน์คงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการแสดงบทบาทดังกล่าวได้อีกต่อไปแล้ว
เมื่อบุญเกียรติ โชควัฒนาต้อง ออกหน้ามารับตำแหน่งประธานบริษัทเบตเตอร์เวย์แทนอมรเทพ
ดีโรจนวงศ์