ย้อนเวลาไปประมาณ 40 กว่าปี จากการปูพื้นลงฐานรากที่แข็งแกร่ง ของหมอชัยยุทธผู้ก่อตั้งบริษัทร่วมกับ
MR.Giorgio Berlingieri ชาวอิ-ตาเลียน ด้วยทุนจดทะเบียน เริ่มแรกเพียง 2
ล้านบาทเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2501 มีพนักงานเพียงไม่กี่ร้อยคน ระยะเวลาผ่านไปประมาณ
40 ปี บริษัท ได้เติบใหญ่สูงขึ้นอย่างมั่นคงจนปัจจุบันบริษัทมีเงินทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว
2,500 ล้านบาท มีทรัพย์สินรวมประมาณ 35,412 ล้านบาท(ตัวเลขเมื่อสิงหาคม 2541)
มีวิศวกรเกือบพันคน รวมทั้งพนักงานอีก 28,000 กว่าชีวิต ไม่รวมผู้รับเหมารายย่อยอีกจำนวนมาก
หมอชัยยุทธเป็นสิงห์เฒ่าในวงการก่อสร้าง ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่ามีเขี้ยวเล็บอันแหลมคม
มีประวัติของการสร้างคอนเน็กชั่นในการเข้าล็อบบี้ ประมูลงานโครงการใหญ่ๆ
อย่างน่าศึกษา ความเป็นสิงห์เขี้ยวตันของเขาเป็นที่พูดถึงกันในวงการตลอดมา
ไม่น่าเชื่อว่าอีกด้านหนึ่งของชีวิต หมอชัยยุทธกลับไม่ได้ชอบกลเกมต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในวงจรชีวิตช่วงนั้นของเขาเท่าไหร่นัก ทุกอย่างเป็นงานและภาระที่เขาต้องรับผิดชอบ
เกือบ 10 ปีที่เขาทิ้งงานไป ก็แทบจะเรียกได้ว่าทิ้งไปเลยโดยไม่ได้ยึดติดอยู่กับอำนาจและการบริหารใดๆ
อีก ปล่อย ภาระทั้งหมดให้ตกบนหลังของเปรมชัยทั้งสิ้น หมอชัยยุทธเล่าว่าเขายังรับตำแหน่งเป็นประธานแต่ก็เหมือนพระประธานในโบสถ์
ปีหนึ่งๆ จะอ่านเพียงรายงานย่อๆ ของบริษัทเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
จนกระทั่งวันนี้
"ช่วงที่เกิดวิกฤตินี้ เวลากลับกรุงเทพฯ ก็ต้องไปช่วยกัน เพราะวิกฤตินี้ใครลงทุนมากก็เจ็บตัวมาก
ค่อยๆ เจรจาไป ต้องไปพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าเราจะใช้หนี้เขาได้ ให้เขาผ่อนปรนดอกเบี้ยให้
ก็ตกลงกันได้ ฝรั่ง เขาชอบพูดกับคนแก่ เพราะคล้ายๆ กับเขาเชื่อถือว่าโกหกน้อยหน่อย
แต่..ผมไม่พูดโกหกหรอก" หมอชัยยุทธ กล่าวอย่างอารมณ์ดี
ชีวิตส่วนใหญ่ในช่วงบั้นปลายของหมอชัยุทธนั้นได้ทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการทำสวนองุ่น
ท่ามกลางขุนเขาและสายลมอ่อนเย็นทั้งปีที่อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย อาชีพการเกษตรเป็นสิ่งที่หมอชัยยุทธรัก
และเป็นความฝันตั้งแต่รุ่นหนุ่ม โดยเคยตั้งความหวังไว้ว่าจะไปเรียนเกษตรที่แม่โจ้ด้วยซ้ำไป
เกือบ 51 ปีความฝันของหมอชัยยุทธก็เป็นจริง เมื่อรีไทร์ตัวเองจากการทำงานในกลุ่มอิตัลไทย
เขาได้ไปกว้านซื้อที่ดินจำนวน 2,500 ไร่ จากชาวบ้านในอำเภอภูเรือ ซึ่งเดิมเป็นที่ที่ชาวบ้านใช้ปลูกเป็นไร่ข้าวโพด
และได้ลงมือปลูกองุ่นไปแล้วเป็นจำนวน 600 ไร่ โดยแบ่งเป็นพื้นที่ปลูกองุ่นสำหรับทำไวน์
480 ไร่ และพื้นที่ปลูกองุ่นรับประทานสด 120 ไร่ ซึ่งหากปลูกเต็มพื้นที่ตามโครงการจะต้องมีพื้นที่ปลูกองุ่นทำไวน์ไม่น้อยกว่า
6,000 ไร่ ในจำนวนนี้หมอชัยยุทธตั้งใจจะปลูกเองเพียง 2,500 ไร่ ส่วนอีก 3,500
ไร่จะร่วมมือกับเกษตรกรในท้องถิ่นให้ปลูกในระบบสหกรณ์ โดยจะช่วยเหลือกิ่งองุ่นพันธุ์ดี
ในด้านวิชาการ และการประกันราคาขั้นต่ำของ องุ่นให้
ส่วนสาเหตุที่เลือกอำเภอภูเรือนั้น เพราะเป็นที่ราบสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ
+600 ถึง +800 เมตร มีภูมิประเทศและอุณหภูมิในหน้าหนาวคล้ายกับภาคใต้ของฝรั่งเศส
และเมื่อปี 2535 สมัยอานันท์ ปันยาร-ชุนเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศให้ผู้สนใจลงทุนสร้างโรงงานทำไวน์ยื่นขออนุมัติ
หมอชัยยุทธก็เลยยื่นเรื่องขออนุญาตผลิตไวน์จำหน่ายในประเทศ และนอกประเทศภายใต้ชื่อบริษัท
ซี.พี.เค. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
จากนั้นประมาณปี 2538 ไวน์ไทย "ชาโต้ เดอ เลย" ผลผลิตจากสวนองุ่นแห่งนี้ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น
ปัจจุบันสามารถผลิตไวน์แดงได้ประมาณ ปีละหมื่นกว่าขวด ส่วนไวน์ขาวปีละประมาณ
1 แสนขวด ราคาในเมืองไทยไวน์แดงขวดละประมาณ 500 บาท ส่วนไวน์ขาวขวดละ 250
บาท ซึ่งปรากฏว่าไวน์แดงเป็นที่ถูกคอของคนไทยมากกว่า ส่วนไวน์ขาวกำลังมองหาตลาดในต่างประเทศ
สวนองุ่นแห่งนี้ยังมีองุ่นแดงไม่มีเมล็ด สนนราคากิโลละประมาณ 245 บาทไว้คอยจำหน่ายด้วย
หรือจะสั่งซื้อได้จากร้านบุษบาบรรณ ในซอยศูนย์วิจัยที่กรุงเทพฯ ก็ได้
จะว่าไปแล้วธุรกิจอันเป็นรักแรกของหมอชัยยุทธวันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำง่ายๆ
แล้วเหมือนกัน นอกจากการปลูกองุ่นซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องคอยดูแลเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้เกิดโรคต่างๆ
แล้ว ปริมาณน้ำฝนก็เป็นเรื่องที่ต้องคอยระวัง ปีไหนตกมากก็จะมีผลต่อผลผลิตทันทีเช่นกัน
และที่สำคัญต้องแข่งขันกับตลาดในต่างประเทศ และเมื่อไหร่มีการเปิดเสรีเหล้าขึ้น
ตลาดไวน์ของชาโต้ เดอ เลย ก็จะเจอคู่แข่งจากคนไทยด้วยกันอีก เช่นไวน์จากค่ายบุญรอด
และ "ชาโต้ เดอ ชาละวัน" ของ พล.ต สนั่น ขจรประศาสน์ ที่กำลังปลูกองุ่นแดงไว้เต็มไร่เหมือนกัน
"ธุรกิจของกลุ่มอิตัลไทยเป็นสิ่งที่ผมเตรียมเอาไว้ให้ลูกๆ ส่วนธุรกิจไวน์
ผมทำไว้ให้หลานๆ ทั้งหมด 12 คน" อดีตผู้ยิ่งใหญ่ของกลุ่มอิตัลไทยกล่าวทิ้งท้าย