เดอดเบย์: ชีวิตที่มีสีสันของสุวิทย์ ยอดจรัส


นิตยสารผู้จัดการ( เมษายน 2542)



กลับสู่หน้าหลัก

สุวิทย์ จบการศึกษาด้านคอมพิว เตอร์ จากสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตจักรพงษ์ภูวนาภ และเขาได้เริ่มต้นชีวิตการทำงานกับบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ก้าว จากพนักงานขายไปสู่รองผู้จัดการ ฝ่ายบัญชี และการเงิน นับเป็นก้าวแรกของการทำงานที่ค่อนข้างมั่นคง เขาปักหลัก อยู่กับบุญรอดฯ นานถึง 17 ปีเต็ม จากนั้นเขาคิดอยากเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ พร้อมกับได้รับคำชักชวนจาก วรพงศ์ นันทาภิวัฒน์ ประธานบริษัท อาหารสากล จำกัด (มหาชน) หรือ ยูเอฟซี หนึ่งในบรรดาเพื่อนสนิทให้มาร่วมงานด้วยกัน ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ นับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ท้า ทาย จากเฟิร์มระดับบุญรอดบริวเวอรี่ ที่เพียงเอ่ยชื่อทุกคนก็รู้จัก มาสู่บริษัท ระดับกลางที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ ไทย ลักษณะการทำงานต้องเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อเขามาอยู่ที่ยูเอฟซี ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ จะปฏิบัติงานสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ และแม้ว่าเขาจะเข้ามารับผิดชอบงานด้านการปฏิบัติการอย่างเป็น ทางการ แต่สุวิทย์ยังมีหน้าที่สำคัญอีกบทบาทหนึ่งคือ บทบาททางด้านการตลาด ซึ่งการทำงานที่ผ่านมาของเขาอาจจะ ไม่ได้โชว์ฝีมือด้านการตลาดโดยตรง แต่เขาก็มีความชำนาญ ทางด้านการตลาดไม่น้อยกว่าคนที่อยู่ในสายงานนี้โดยตรง เนื่องจากเขาได้เรียนรู้จากการออกไปพบปะผู้คนทุกระดับนับตั้งแต่ระดับล่าง ระดับเดียวกัน จนไปถึงระดับสูง ทำให้เขารู้จักวิธีในการเข้าหาและรู้ถึงความต้องการของคน เหล่านั้นเป็นอย่างดี

"ในอดีตผมทำงานอยู่ในสายกึ่งนักวิชาการ เริ่มตั้งแต่ที่บุญรอดฯ อยู่ที่ฝ่ายขายก่อนและย้ายไปอยู่บัญชี จากนั้น ก็ไปอยู่ฝ่ายคอมพิวเตอร์ และได้รับมอบหมายให้ดูแลโปรเจ็กต์พิเศษของบุญรอดฯ ซึ่งงานส่วนใหญ่ทั้งหมดจะเป็นงานเกี่ยวกับการเซ็ตระบบ แต่พอผมมาอยู่ที่อาหารสากล เมื่อเข้ามาวางระบบบัญชี คอมพิวเตอร์เรียบร้อยแล้ว ผมก็มาจับงานด้านการขายและการตลาด ซึ่งเป็นงานที่ผมชอบ และที่นี่ผมได้ใช้ศาสตร์ทางด้านการตลาดค่อนข้างเยอะ" สุวิทย์เล่า

ปีนี้เป็นปีที่ 5 ของเขาที่ยูเอฟซี และระหว่างที่อยู่ที่นี่ เขาได้เกิดความคิดที่จะทำไมโครบริวเวอรี่ขึ้น หลังจากที่กรม สรรพสามิตเปิดเสรีให้ขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงเบียร์เล็กได้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เขาและเพื่อนๆ อีก 5-6 คนจึงได้รวม ตัวกันก่อตั้งบริษัท เพชรบุรีเอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัดและไป ขอใบอนุญาตจากกรมสรรพสามิต เพื่อทำโรงเบียร์เล็ก ชื่อว่า "เดอะเบย์" ซึ่งในขณะนั้นก็มีอีกหลายรายที่มาขอใบอนุญาต และพวกเขาเหล่านั้นก็ได้เปิดดำเนินการล่วงหน้าไปก่อนร่วม 2 ปีแล้ว

จนกระทั่งเมื่อปลายปีที่แล้ว "เดอะเบย์" ได้เปิดให้บริการในส่วนของผับแอนด์เรสเตอรองท์เป็นการชิมลาง รอ เวลาติดตั้งหม้อต้มเบียร์ให้เสร็จสมบูรณ์ก่อน และล่าสุดส่วน ของไมโครบริวเวอรี่ของเดอะเบย์ได้เปิดบริการเต็มรูปแบบแล้ว

เดอะเบย์เป็น ไมโครบริว เอนเตอร์เทนเม้นท์ สไตล์ ซานฟรานซิสโก ที่สุวิทย์และเพื่อนมีเจตนาร่วมกันให้การตก แต่งร้านทั้งหมดออกมาในสไตล์ของอเมริกันที่สนุกสนาน เพื่อฉีกแนวจากไมโครบริวรายอื่นที่นิยมสไตล์อเมริกัน แต่อย่างไรก็ตาม ส่วนของเครื่องจักรต่างๆ และหม้อต้มเบียร์ของที่นี่ยังคงความเป็นมาตรฐานเยอรมัน ซึ่งเป็นดินแดนผู้ผลิตเบียร์อันดับหนึ่งของโลกรวมทั้งคนปรุงเบียร์ สุวิทย์ได้เฟ้นหาลูกครึ่งอเมริกัน-เยอรมันมาจนได้ สำหรับเบียร์สดของที่นี่จะมีรสชาติสไตล์อเมริกัน ขณะเดียวกันก็มีเบียร์สำเร็จ รูปจำหน่ายร่วมด้วย เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกอย่างตรงใจที่สุด

"ความเป็นซานฟรานฯ แต่งร้านได้ไม่มีวันจบ ซึ่งการ ลงทุนทำไมโครบริวถือเป็นการลงทุนระยะยาว จะมาลงทุนระยะสั้นแบบผับหรือเธคทั่วไปที่เปิด 1-2 ปีแล้วเลิก ไม่ได้เพราะว่าเป็นการลงทุนค่อนข้างสูง เราก็เลยอยากได้ธีมของร้านที่ใส่อะไรใหม่ๆ เข้าไปเปลี่ยนแปลงได้เรื่อยๆ ไม่มีจุดจบ เพื่อให้ลูกค้าไม่เบื่อในบรรยากาศของเรา" เป็นเหตุผลที่สุวิทย์อธิบายถึงการเลือกตกแต่งร้านในสไตล์ซานฟรานซิสโก ซึ่งถือเป็นการจำลองบรรยากาศอันสนุกสนาน กิจกรรมที่หลากหลาย แสงสีที่สดใสสว่างไสว คลาคล่ำไปด้วยผู้คนจากทุกที่ของซานฟรานซิสโก มาไว้ที่เดอะเบย์

หลายคนอาจจะสงสัยว่า เศรษฐกิจตกต่ำแบบนี้คิด อย่างไรถึงมาเปิดกิจการใหญ่โตขนาด 100 ล้านบาท ไม่สวน กระแสไปหน่อยหรือ??? สุวิทย์ได้ให้คำตอบนี้อย่างชัดเจนว่า

"นักธุรกิจที่ดี นอกจากจะต้องมีความฉลาดในการลงทุนแล้ว ผมว่า ไทม์มิ่ง เป็นสิ่งสำคัญที่จะกำหนดความสำเร็จของคนเราได้ด้วยเช่นกัน ขณะที่เดอะเบย์คิดแผนลงทุน ยังไม่เกิดวิกฤติทางด้านเศรษฐกิจ และเมื่อเกิดวิกฤติแล้วเรา ก็ชะลอการลงทุนไป จนกระทั่งเมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งเป็นวันที่เราเปิดร้าน และเราก็คิดว่าเหมาะสมแล้ว เพราะหากเราทำตอนที่เศรษฐกิจบูม อาจจะไม่มีคนรู้จัก เดอะเบย์เท่าวันนี้ก็ได้"

สุวิทย์มีปรัชญาในการทำงานแต่ละวันของเขาคือ"ง่าย เมื่อคิด ติดเมื่อทำ สำเร็จเมื่อพยายาม" และเคล็ดลับในการประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ได้นั่น เขาบอกว่าต้องมี"ถึง" ใน 3 ประการด้วยกัน ประการแรก "ตาถึง" คือ มองธุรกิจ อย่างทะลุปรุโปร่ง ประการที่สอง "ใจถึง" คือ กล้าตัดสินใจ และประการสุดท้าย "มือถึง" คือ ทำจริง ทำเป็น

"ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับการทำงาน และร้านนี้ก็ถือ เป็นความฝันร่วมกันของผองเพื่อน ที่พร้อมจะมานั่งคุยกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ให้กำลังใจและข้อคิดแก่กันเพื่อมา เป็นข้อมูลในการบริหารธุรกิจให้สำเร็จ" สุวิทย์กล่าว

นอกจากนั้น ในฐานะที่เป็นคนหนุ่มหัวสมัยใหม่ ที่คลุกคลีอยู่ในวงการธุรกิจมากว่า 20 ปี สุวิทย์ได้ให้มุมมองและแง่คิดต่อภาวะพัฒนาการของเศรษฐกิจไทยว่า

"ผมมองว่า ถ้าเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล อาจจะมีคำว่า "ขาดทุน" หรือ "ล้มละลาย" แต่ผมอยากจะให้กำลังใจกับนักธุรกิจทุกท่านว่า เราอยู่ในประ-เทศไทย เราเป็นคนไทย ประเทศไทยไม่มีคำว่า "ล้มละลาย" ประเทศไทยขาดทุนไม่ได้ เพราะทรัพย์สินใน เมืองไทยมันนับมูลค่าไม่ได้ ฉะนั้นวันนี้ใครจะบอกว่า เมืองไทยจะเป็นอย่างไรก็ตาม ผมไม่เชื่อ วันนี้เราต้อง พยายามอยู่ให้ได้ แล้วพรุ่งนี้จะดีเอง

เวลาที่ท้อแท้ใจ ผมจะคิดว่า วันที่กรุงศรีอยุธยาแตก 2 ครั้ง ทำไม ประเทศไทยยังอยู่รอด ในช่วงรัชกาล ที่ 5 เป็นยุคล่าอาณานิคม ประเทศไทยก็ยังอยู่รอด และวันนี้ประเทศไทยเจอยุคของการพิสูจน์ความสามารถของคนที่จะอยู่ในวงการธุรกิจต่อไป ทำไมประเทศไทยจะไม่ รอด ขอให้นักธุรกิจทุกคนอย่าประมาท อย่าหมดความหวัง และอย่าลงทุนที่เกินตัว แบ่งเงินเก็บก้อน หนึ่งให้ครอบครัว และเราก็จะทำงานอย่างสบายใจเอง"

"เมื่อวานนี้มีได้ วันนี้หมดได้ พรุ่งนี้ก็มีได้" ชีวิตก็เท่านี้เอง...



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.