ถาวร ตรีศิริพิศาล เป็นอีกตัว อย่างหนึ่งของนักธุรกิจที่สู้ชีวิตภายหลังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำอย่างสุดโหดในรอบนี้
เมื่อ 5-6 ปีก่อน เมื่อเอ่ยชื่อของถาวร กรรมการผู้จัดการบริษัทวีไอพีเรียลเอสเตท
น้อยคนนักในวงการอสังหาริมทรัพย์ที่จะไม่รู้จักเขา เพราะอีกฉายาหนึ่งก็คือ
"เจ้าพ่อคอนโด" ผู้บุกเบิกโครงการคอนโดเชน และคอนโดเทล และในช่วงที่ธุรกิจคอนโดมิเนียมได้รับความนิยมสูงสุด
นั้น เขาเป็นทั้งเจ้าของคอนโด เป็น ทั้งที่ปรึกษาให้กับโครงการต่างๆ กว่า
30 โครงการ
เรียกได้ว่าคอนโดสูงเสียดฟ้า ย่านหาดจอมเทียนพัทยา หาดแม่รำพึงระยอง หาดหัวหิน
และชะอำ มีชื่อของถาวรคนนี้ เป็นผู้ถือหุ้น เป็นที่ปรึกษาโครงการ หรือเป็นผู้รับบริหารเกือบทุกโครงการไป
เมื่อเจอพายุลูกแรกๆ จากสถาบันการเงินที่ชะลอการ ปล่อยสินเชื่อ ถาวรก็ยังไม่เจ็บตัวเท่าไหร่นักเพราะสายสัมพันธ์กับสถาบันการเงินที่มีมานานกว่า
20 ปีในวงการเรียล เอสเตทของเขาทำให้เขายังมีแหล่งเงินซัพพอร์ตโครงการ ดังนั้นการขายโครงการที่การก่อสร้างยังไม่เสร็จก็เลยยังเดินหน้าไปได้เรื่อยๆ
แต่เมื่อลมพายุกลายเป็นมรสุมลูกใหญ่ด้วยการปิดสถาบันการเงิน ถาวรก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
ในช่วง แรกๆ เขาก็ยังใจเย็นเพราะคิดว่าทางสถาบันการเงินคงหาหนทางแก้ไขได้
แต่เมื่อเวลาผ่านไปๆ เมื่อเห็นว่ารัฐบาลและ สถาบันการเงินเองก็ยังไม่มีทางออก
เขาจึงได้เริ่มดิ้นรนหาทางช่วยตัวเองอย่างถึงที่สุด
ในช่วงเวลานั้นถาวรมีโครงการซึ่งเขาเป็นผู้ถือหุ้นประมาณ 3 โครงการที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ
และหยุดได้รับเม็ดเงินจากสถาบันการเงินไปแล้วในขณะเดียวกับลูกค้าที่วางเงินดาวน์ไว้แล้วก็เริ่มหยุดผ่อนต่อ
รวมทั้งมีอีกประมาณ 4 โครงการที่สร้างเสร็จแล้วแต่การขายยังไม่หมดและชะงักงันมานาน
วิธีการแรกของเขาก็คือวิ่งขายโครงการให้กับนักลงทุนต่างชาติที่สนใจซึ่งมีทั้งโครงการของตนเอง
โครงการของเพื่อนฝูงที่ตัวเองเป็นที่ปรึกษา รวมทั้งเปิดบริษัททางด้านโบรกเกอร์
รับซื้อขายที่อยู่อาศัยทุกประเภทเพื่อหวังเอาเงินเล็กๆ น้อยๆ จากค่าคอมมิชชั่น
มาเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนต่างๆ เขาต้องทำงานหนักอีกครั้งทั้งๆ ที่ก่อนเกิดภาวะวิกฤติทางการเงินนั้นเมื่อรับเงินจากโปรเจ็กต์ที่ตัวเองเป็นที่ปรึกษาอยู่
เขาก็จะใช้เวลาส่วนใหญ่พาครอบครัวไปเที่ยวต่างประเทศประมาณ 1 เดือน ทุกครั้งไป
"เรียกได้ว่ากำไรที่ผมได้มา 100 บาท ตอนนี้หมดไป 90 บาท ปีนี้อาจจะเหลือถึง
0 ก็ได้ หากไม่ดิ้นรน รวมทั้งต้องขึ้นโรงขึ้นศาลอีกด้วย"
ส่วนโครงการที่ยังขายไม่หมดเช่นโครงการวีไอพีที่ พัทยา ชะอำ หัวหิน และโครงการรีสอร์ตที่หาดแม่รำพึงซึ่งเป็นที่ดินเปล่าจัดสรรนั้นเขาก็เร่งทำการโปรโมชั่นอย่างหนัก
โดยยอมหั่นราคาลงมาถึง 50%
โครงการวีไอพีที่หาดจอมเทียนพัทยาจะเหลือจำนวน ยูนิตมากที่สุดคือประมาณ 200
ยูนิต พื้นที่ 40 ตารางเมตรราคาเริ่มต้นที่ 1 ล้านกว่าบาทนั้น ปัจจุบันเหลือเพียง
5 แสนกว่าบาท ผลจากแผนโปรโมตครั้งนี้ทำให้โครงการที่พัทยา ขายไปได้อย่างรวดเร็วเกือบร้อยยูนิต
ที่ชะอำเหลือเพียง 10 ยูนิต ส่วนที่ระยองเหลือประมาณ 40 ยูนิต
เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานั้น ถาวรบอกว่าเขาโชคดี ที่มีนักลงทุนชาวยุโรปกลุ่มหนึ่งได้มาเซ็นสัญญาตกลงซื้อโครงการของเขา
2 ใน 3 โครงการที่สร้างไม่เสร็จ แต่จะเป็นโชคดีหรือเปล่าไม่ทราบเพราะเขายอมรับว่า
แต่ละโปรเจ็กต์ที่ขายได้เงินคืนมาเพียง 20% ของเงินทั้งหมดที่ต้องลงทุนไปเท่านั้น
และนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาจะต้องหาเงินมาสร้างโครงการต่อให้เสร็จ รวมทั้งจ่ายหนี้สินให้สถาบันการเงินที่บริษัทค้างอยู่ด้วย
"ได้เพียง 20% ผมก็เอาแล้วละครับ ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย และอย่างน้อยลูกค้าที่ซื้อไปก็จะได้เห็นโครงการที่เขาซื้อไปสร้างต่อเสียที"
คราวนี้ถาวรบอกว่าเขาคงต้องจบกันเสียทีกับอาชีพ
เรียลเอสเตท แต่ในขณะเดียวกันก็ยังไม่ยอมแพ้ต่อการพยายามหาธุรกิจใหม่ เพื่อหารายได้กลับเข้ามาแม้จะเป็นงานที่ทำรายได้ไม่มากนักก็ตาม
ดังนั้นประมาณกลางเดือนมีนาคม 2542 นี้ เขาจะเปิดบริษัทใหม่ คือบริษัทผลไม้แฟรนไชส์จำกัด
วิธีการก็คือให้ผู้ที่สนใจสมัครเข้ามาเป็นสมาชิกกับบริษัท เสียค่าใช้จ่ายครั้งแรกเพียง
1,000-1,500 บาท บริษัทก็จะจัดสินค้าคือผลไม้สดตามฤดูกาล 4-5 ชนิด ถุงมะขามหวาน
กล้วยตาก และขนมผลไม้อื่นอีก 60-80 ถุง น้ำผลไม้คั้นสดๆ 40 ขวด พร้อมกับตู้แช่น้ำแข็ง
ถุงใส่ผลไม้ ตาชั่ง ร่ม หมวก เสื้อ กระเป๋าสตางค์ ตะกร้าผลไม้ ตู้กระจก รถเข็นพร้อม
ขายได้ทันที ซึ่งมูลค่าของผลไม้ต่อวันนั้นเป็นเงินประมาณ 3 พันบาท แต่สมาชิกยังไม่ต้องจ่ายเงินในส่วนนี้ทุกอย่างบริษัทให้เครดิตหมด
ขายได้ถึงมาจ่าย และสมาชิกจะต้องขายให้หมดภายใน 2 วัน โดยสินค้าที่เหลือในแต่ละวันก็จะมีตู้แช่แข็งไว้บริการ
ถ้าเป็นรถเข็น ลงทุนครั้งแรก 1,000 บาท ประกันว่าต่อวันจะได้กำไรประมาณ
600-800 บาท แต่ถ้าเป็น ซาเล้งถีบก็ต้องจ่ายครั้งแรก 1,500 บาทกำไรต่อวันประมาณ
1,000-1,200 บาทส่วนค่าอุปกรณ์ต่างๆ นั้นสมาชิกต้องเซ็นสัญญาเงินกู้กับบริษัทเป็นเงิน
1 หมื่นบาทซึ่งจะค่อยๆ ทยอย จ่ายไป
ถาวรตั้งเป้าในปีแรกว่าจะมีประมาณ 100 คัน และจะเพิ่มเป็น 200 คันใน 2
ปี กลุ่มลูกค้าที่วางไว้ก็คือ พวกที่มีหน้าร้านขายประจำ หรือพวกรถถีบที่ขายอยู่แล้ว
รวมทั้งคนกลุ่มใหม่ที่ต้องการรายได้
หากสมาชิกเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ก็หมายถึงได้ค่าแฟรนไชส์ปีละประมาณ 2 แสนบาท
รวมทั้งหักกำไรส่วนหนึ่งจากยอดขายในแต่ละวันของสมาชิก 200 คนนั้น ถาวรบอก
ว่าก็พอใจแล้วในภาวะอย่างนี้