ในขณะที่หนังสือ "ชีวิตเหมือน ฝัน" ของคุณหญิงมณี สิริวรสาร กำลังเป็นที่พูดถึง
ในชีวิตจริงการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของคุณหญิงก็กำลังเป็นที่สนใจ ราวกับว่าเป็นหนังสืออีกภาคหนึ่งที่น่าติด
ตามเช่นกัน
คุณหญิงมณีเป็นผู้ที่ได้รับมรดกมาจากพระบาทสมเด็จพระปก เกล้าเจ้าอยู่หัว
(รัชกาลที่ 7) เพราะใน อดีตคุณหญิงคือชายาของพระองค์ เจ้าจิรศักดิ์สุประภาติ
ซึ่งเป็นโอรสบุญธรรมของพระองค์ แต่เมื่อพระองค์เจ้าจิรศักดิ์ฯ ได้สิ้นชีพไปตั้งแต่
วัย 25 ชันษา มรดกก็เลยตกมาเป็น ของหม่อมมณีซึ่งท่านเคยเล่าไว้ในหนังสือ
"ชีวิตเหมือนฝัน" ว่า ทรัพย์ สินซึ่งเป็นที่ดินที่ท่านต้องจับฉลากแบ่งกับสมเด็จพระนางเจ้ารำไพฯ
นั้นมีทั้งหมด 20 แปลง ไม่นับแปลงที่เป็นที่ตั้งของวังสุโขทัย และแปลงบนถนนเพลินจิต
เพราะ 2 แปลง นี้ได้นำมาแลกเปลี่ยนกัน โดยแปลงที่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยานั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของ
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ส่วนที่ดินประมาณ 10 ไร่ที่ถนนเพลินจิตนั้นเป็นของคุณหญิงมณี
คุณหญิงมณียอมรับว่าท่านไม่มีหัวทางด้านธุรกิจ ดังนั้นหลังจากได้รับมรดกมาแล้วก็ไม่ได้มีการนำมาพัฒนา
เพื่อให้รายได้งอกเงยไปมากกว่าการเก็บค่าเช่าตึกแถว และค่าเช่าที่ เพียงเดือนละไม่กี่หมื่นบาท
แต่ต่อมาภายหลังเมื่อคุณหญิงมณีแต่งงานใหม่กับนายแพทย์ ปชา สิริวรสาร ก็ได้มีความคิดที่จะพัฒนาที่ดิน
ขึ้น โดยโครงการแรกก็คือการสร้างอาคารมณียาสูง 7 ชั้นซึ่ง เป็นที่ดินในบริเวณบ้านบนถนนเพลินจิต
ผลก็คือประสบความสำเร็จอย่างดี มีผู้เช่าจองเต็มทุกชั้นและใช้เวลาเพียง 2
ปีก็คืนทุน
อีก 3 ปีต่อมาอาคาร "สิริณี" ซึ่งเป็นโครงการที่ 2 ก็เกิดขึ้น คราวนี้ด้วยความมั่นใจก็เลยสร้างเป็นตึกสูงถึง
10 ชั้น และก็สามารถประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับโครงการแรก สามารถคืนทุนได้ภายในระยะประมาณ
2 ปีเช่นกัน
เม็ดเงินที่ได้นำมาลงทุนในการก่อสร้างตึกทั้ง 2 หลังนั้นคุณหญิงมณีใช้วิธีขายที่ดินแปลงอื่นไปเมื่อได้เงินสดมาก็เอามาลงทุน
ไม่ได้กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน ไม่ต้องมีการจ่ายดอกเบี้ย ในขณะที่ที่ดินที่ใช้ในการก่อสร้างก็เป็นของ
ตนเอง ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่สามารถคืนทุนได้อย่างรวดเร็ว เมื่อม.ร.ว.ทินศักดิ์
ศักดิเดช ภานุพันธ์ ลูกชายคนที่ 2 ซึ่ง เคยทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่อเมริกากลับมาช่วยคุณหญิง
บริหารที่ดินซึ่งเป็นมรดก ก็ได้นำวิธีคิดแบบสากลมาใช้คือการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินมาลงทุน
ม.ร.ว.ทินศักดิ์ ได้สมรสกับศิริกาญจน์ ศรีกาญจนา ลูกสาวของพยัพ แห่งกลุ่มอาคเนย์
โครงการพัฒนาที่ดินของคุณหญิงจึงได้เริ่มขึ้นอย่างจริงจัง โดยมีบุตรชายและสะใภ้เป็นตัวหลักที่สำคัญ
ในปี 2537 กลุ่มมณียา มีการขยายงานไปลงทุนในบริษัทต่างๆ มากมายหลายบริษัทเช่นบริษัทรอยัลมณียา
บริษัทภูมิทรัพย์ บริษัทมณียาหลังสวน บริษัทมณียาแอนด์ แอสโซซิเอทส์ บริษัทเมเนซองมณียา
และสุขุมวิทเรียลตี้
การเข้าไปขยายการลงทุนอย่างมากมายนั่นเอง ทำให้ ในปี 2538 ได้มีการเพิ่มทุนจาก
5 ล้านบาทเป็น 500 ล้านบาท ผู้ถือหุ้นทั้งหมดในบริษัทมณียาเรียลตี้ ได้แก่
คุณหญิงมณี ลูกชายทั้งสองคือ ม.ร.ว.เดชนศักดิ์, ม.ร.ว. ทินศักดิ์, ลูกสะใภ้คือศิริกาญจน์,
ม.ร.ว.อรมณี ซึ่งเป็นบุตรสาว และบุตร บุญธรรมทั้งสองคือภาณุพลและภาณินี สิริวรสาร
ส่วนผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ ก็คือ จุลพยัพ ศรีกาญจนา, ม.ร.ว.ดำรงดิศ ดิศกุล,
นายสนิท ก.เจริญกุล, วุฒิสาร เดโชชวลิต และสีห์ เฟื่องฟู
การลงทุนที่เกิดขึ้นแล้วเป็นอาคารสูงให้เช่าในเขตใจกลางเมือง มี ESPLANADE
โครงการเดียวเท่านั้นที่ทำเป็น คอนโดตากอากาศที่ต่างจังหวัด และที่สำคัญส่วนใหญ่จะเป็น
การร่วมลงทุนกับกลุ่มอื่นเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงระดับหนึ่ง
ดังนั้นเมื่อเกิดภาวะตกต่ำของอสังหาริมทรัพย์ก็ดูราว กับว่ากลุ่มมณียาเรียลตี้ไม่เจ็บตัวเท่าไหร่นัก
ถ้าหากไม่ตัดสินใจพัฒนาโครงการใหญ่ที่ชื่อ "รอยัลราชดำริ" บนที่ดินส่วนหนึ่งที่เหลืออยู่บนถนนเพลินจิต
รวมทั้งที่ดินซึ่งเป็น ของสำนักงานทรัพย์สินด้วย ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนประมาณ
3-4 พันล้านบาท โครงการนี้เริ่มต้นก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2537 และได้หยุดการก่อสร้างมาร่วม
2 ปีแล้ว
เดิมรอยัลราชดำริได้ร่วมทุนกับคุณหญิงศศิมา ศรีวิกรม์ ในสัดส่วน 50% แต่เมื่อคุณหญิงศศิมาต้องเจอกับ
มรสุมลูกใหญ่ทางด้านธุรกิจจนมีปัญหาทางด้านการเงิน ก็ได้ มีการขอซื้อหุ้นทั้งหมดกลับคืนมาและขณะนี้ก็ได้ผู้ร่วมทุนใหม่แล้ว
เป็นนักลงทุนชาวอเมริกัน ที่เคยทำธุรกิจด้านเรียลเอสเตท โดย ได้มีการติดต่อผ่านตัวแทนทางเมืองไทยและศึกษาโครงการมานานเป็นเวลาประมาณ
1 ปีแล้ว
ล่าสุดได้มีการเซ็นสัญญาที่จะร่วมกันทำธุรกิจเมื่อปลายเดือน มีนาคม 2542
ที่ผ่านมาคาดว่าไม่เกิน 5 เดือนเพื่อรอการเปลี่ยนแปลงแก้ไข รายละเอียดของแบบใหม่ให้เสร็จเรียบร้อย
เครนตัวใหญ่ยักษ์ก็จะเริ่ม เดินเครื่องสร้างโครงการต่อไป
รูปแบบโครงการใหม่ที่จะเกิด ขึ้นเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ที่มีทั้งศูนย์การค้า
และคอนโดมิเนียมความ สูงทั้งหมด 50 ชั้น
วันนี้กลุ่มมณียาจึงได้มาถึงจุด สำคัญในการทำธุรกิจเรียลเอสเตทในที่ดินซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาเพราะ
คงต้องใช้เวลาพอสมควรที่จะสรุปว่าประสบความสำเร็จหรือไม่ ส่วนโครง การในที่ดินแปลงอื่นๆ
นั้นคงต้องพับ เก็บไว้ก่อนแน่นอน