ยูนิไบรด์ ชะลอส่งออก มุ่งเป้าตลาดในประเทศ


นิตยสารผู้จัดการ( พฤษภาคม 2542)



กลับสู่หน้าหลัก

ยูนิไบรด์ก่อกำเนิดขึ้นในปี 2537 จากการที่ โสภณ-สุพัตรา หลายชูไทย ได้เล็งเห็นศักยภาพการเติบโตของอุตสาหกรรมชุดวิวาห์ในประเทศ ทั้งที่แต่เดิมครอบครัวหลายชูไทยได้เริ่มต้นทำธุรกิจชุดวิวาห์ เพื่อการส่งออกเป็นหลักมานานนับ 10 ปี อันเป็นการต่อยอดธุรกิจของโรงเรียนสอนตัดเสื้อธรรมรัตน์ ซึ่งเป็นของมารดาของสุพัตรา ผู้เป็นทายาท สาวคนเดียวที่มารดาตั้งความหวังให้สานต่อธุรกิจชุดวิวาห์ โดยงานทางด้านส่งออกใช้ชื่อบริษัทว่า "เอไทย ยูนิเทรด" ดำเนินธุรกิจส่งออก ในลักษณะของ OEM คือ ผลิตชุดวิวาห์ตามแบบที่กำหนดมา และส่วนใหญ่จะเป็นงานฝีมือที่ใช้ความละเอียดอ่อน ประณีต เน้นการปักฉลุลวดลายต่างๆ ลงบนผืนผ้า ซึ่งจะผลิตเพียงไม่กี่ชุดเท่านั้น ทำให้ราคาของชุดในกลุ่มนี้จะค่อนข้างสูงและเน้นที่กลุ่มลูกค้าระดับ B+ ขึ้นไป

ต่อมา อเมริกาซึ่งเป็นตลาดหลักได้ประสบกับปัญหาทางเศรษฐกิจ ทำให้ผู้บริโภคหันมาคำนึงถึงราคาสินค้ากันมากขึ้น และในช่วงนั้นเองที่ทำให้ประเทศจีน และไต้หวัน ผงาดขึ้น จากการผลิตชุดวิวาห์ที่มีราคาถูกลง เนื่องจากการผลิตของจีนและไต้หวันเป็นลักษณะ MASS ที่มีการผลิตจำนวนมากๆ และมีกรรมวิธีการผลิตที่ไม่ละเอียด ซับซ้อน ทำให้ชุดวิวาห์ที่ประดับด้วยลูกไม้อย่างง่ายๆ กลับ กลายเป็นที่นิยมในตลาด ในขณะที่ตลาดชุดวิวาห์ที่เน้นการตกแต่งที่ประณีตก็หดตัวลงอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้น ประกอบกับความที่เป็นคนรุ่นใหม่ของครอบครัวหลายชูไทย ทำให้แนวคิดในการดำเนินธุรกิจไม่ประสานกับความคิดแบบอนุรักษนิยมของมารดา สุพัตราและสามีจึงได้ตัดสินใจแยกตัวออกมาดำเนินธุรกิจเอง

"เราเริ่มทำชุดวิวาห์ส่งออกตั้งแต่สมัยที่อยู่กับโรงเรียน สอนตัดเสื้อธรรมรัตน์ ซึ่งพอเราเริ่มมาทำเราก็ต้องการปรับปรุง ให้ดีขึ้น แต่ความเห็นไม่ตรงกัน เราก็เลยคิดว่าแยกออกมาทำเองดีกว่า ประกอบกับ หากอยู่ที่ธรรมรัตน์ต่อไปก็มีปัญหา เรื่องสถานที่ที่คับแคบ และบังเอิญเรามาได้ที่ดินที่สุขาภิบาล 2 แห่งนี้ ซึ่งเป็นแหล่งชุมชนมุสลิมที่มีฝีมือในการทำงานปักฉลุที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย" สุพัตราเล่า และในช่วงที่เธอและสามีตัดสินใจแยกตัวออกมาจากธรรมรัตน์ ภาวะการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยกำลังเริ่มเกิดปัญหา ในเรื่องของค่าแรงที่สู้จีนหรือไต้หวันไม่ได้ ประกอบกับในแง่ของแบรนด์ที่ผู้ส่งออกไทยเองยังไม่มีการสร้างแบรนด์ขึ้น มาสู้กับแบรนด์อินเตอร์ นี่คือจุดอ่อนของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา แต่ตอนนี้เริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ผู้ส่งออกทั้งหลายเริ่มให้ความสำคัญกับแบรนด์ของตัวเองมากขึ้น และ "ยูนิไบรด์" ก็เป็นแบรนด์หนึ่งที่ออกไปสู่สายตาชาวโลกแล้ว เพียงแต่รอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความสำเร็จ

ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะสร้างแบรนด์ของสินค้าไทยให้มีความแข็งแกร่งทัดเทียมแบรนด์สากล การพัฒนาแบรนด์ ต้องอาศัยกระบวนการทางเวลาที่เป็นไปตามขั้นตอน จะข้ามขั้นไม่ได้ ดังนั้นในระหว่างนี้สิ่งที่ผู้ส่งออกจะทำได้ก็คือ พยายามค้นหาเอกลักษณ์และพยายามขายเอกลักษณ์ออกไปสู่ตลาดโลก อย่างเช่นในกรณีของยูนิไบรด์ที่พยายามขาย ความเป็นชุดวิวาห์ที่ประณีต และแสดงความเป็นไทย ออกสู่ ตลาดสากล ด้วยการสร้างความรู้สึกร่วมว่า "หากจะใช้ชุด
วิวาห์ผ้าไหมที่เป็นลายปักฉลุหรือแฮนด์เมดจะต้องนึกถึงชุด วิวาห์ของเมืองไทย" แต่ถ้าเป็นตลาดในประเทศ จะเน้นที่ความหลากหลาย ไม่เจาะจงไปที่รูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง

ปัจจุบันยูนิไบรด์ได้หันมาให้ความสำคัญกับตลาดในประเทศมากขึ้น โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นถึง 70% จากเดิมที่มีเพียง 30% ซึ่งยูนิไบรด์ได้แบ่งความต้องการชุดวิวาห์ตามรสนิยมของเจ้าสาวไทยออกเป็น 3 กลุ่มคือ สไตล์ยุโรป ที่เน้นความเรียบหรู, สไตล์อเมริกัน ที่เน้นตามแฟชั่นที่ทันสมัยและสไตล์โอเรียลทอล ซึ่งเป็นกลุ่มที่นิยมผ้าไหมที่ตกแต่งด้วยงานฝีมือ ปักฉลุลวดลาย หรือการปักมุกเลื่อมทอง อลังการ ซึ่งทางยูนิไบรด์มีคอลเลกชั่นชุดวิวาห์ไว้ตอบสนอง ความต้องการของลูกค้าคนไทยได้ครบทุกกลุ่ม

นอกจากนั้น ยูนิไบรด์ยังมีบริการ EXCLUSIVE DESIGN สำหรับเจ้าสาวที่มีความฝันและจินตนาการชุดวิวาห์ เป็นของตัวเองที่ไม่เหมือนใคร เป็นชุดวิวาห์ที่พิเศษสุด แทบจะเรียกได้ว่ามีชุดเดียวในโลก และบริการ CUSTOMER MODIFY คือ เมื่อเจ้าสาวมาเห็นชุดที่ร้านแล้ว อยากจะดัดแปลง หรือแต่งเติมเพิ่มขึ้นตามความต้องการของเจ้าสาว ทางร้านก็จะทำให้ใหม่ ซึ่งกรณีนี้ก็จะทำให้เกิดชุดวิวาห์ในรูปแบบใหม่ขึ้นมาอีก

ซึ่งอัตราค่าเช่าชุดของยูนิไบรด์จะอยู่ที่ประมาณ 7,900 บาทต่อชุด สำหรับผ้าทั่วไป และ 10,000 บาทขึ้นไปสำหรับ ผ้าลูกไม้ฝรั่งเศส และถ้าเป็นการเช่าตัด เมื่อใช้ชุดเสร็จแล้ว ก็นำมาคืนร้านจะอยู่ที่ประมาณ 12,000 - 20,000 บาท ส่วน ถ้าลูกค้าต้องการซื้อชุดกลับไปเป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเองราคา ก็จะเพิ่มขึ้นตามรูปแบบที่ตัดเย็บออกมา

สำหรับการแข่งขันเชิงธุรกิจ ยูนิไบรด์จะเน้นที่ความหลากหลาย โดยพยายามหนีในเรื่องของดีไซน์ 1 สเต็ปไปข้างหน้าอยู่เสมอ เนื่องจากทุกวันนี้ยูนิไบรด์ได้รับผลกระทบ จากการถูกลอกเลียนแบบ

"คู่แข่งที่สำคัญจริงๆ แล้วเป็นตัวเราเอง ปัจจุบันเจ้าสาวส่วนใหญ่ตัดสินใจเลือกชุดวิวาห์ โดยไม่ได้เอาราคามาเป็นเครื่องตัดสิน แต่ยึดเอาความพอใจเป็นหลัก ฉะนั้นการแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่นจึงไม่น่ากลัวเท่ากับ การที่เราไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างทั่วถึง ซึ่งจะส่งผลต่อยอดขายของเราโดยตรงด้วย" เป็นมุมมองของนักธุรกิจหนุ่ม

"อุตสาหกรรมชุดวิวาห์จะสามารถอยู่รอดต่อไปได้ ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ยกเว้นแต่ว่าจะเกิดสงคราม" คำกล่าวนี้ดูจะตรงกับสุภาษิตไทยโบราณที่ว่า "น้ำซึมบ่อทราย" มาก เนื่องจากวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรง กับยอดขายชุดวิวาห์เท่ากับผลกระทบที่เกิดจากโหราศาสตร์ โดยตั้งแต่มีการลดค่าเงินบาทในปีž40 เป็นต้นมา คู่รักก็ยังคงแต่งงานสร้างครอบครัวกันตามปกติ เพียงแต่อาจจะมีการคำนึงถึงการใช้จ่ายอย่างประหยัดมาก ขึ้น และปีที่ย่ำแย่ที่สุดของธุรกิจชุดวิวาห์นับตั้งแต่เกิดวิกฤติการณ์ค่าเงินบาทมาก็คือในปีž41 ซึ่งเป็นปีเสือ และเป็นปีที่คู่รักไม่นิยมแต่งงานกันเท่าที่ควร ดังนั้นยอดขายอาจจะลดลงไปบ้าง แต่สำหรับปีž42 นี้เป็นปีส่งท้ายศตวรรษที่ 20 กำลังจะก้าวสู่คริสต์ศตวรรษใหม่ คู่รักจึงนิยมลงเอยกันในปีนี้ เพื่อเป็นอนุสรณ์ของความรักในปีค.ศ.2000 หรือปีมังกรทอง



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.