วรวิมล ณ ระนอง เป็นสาวปีเสือ ที่ยังสวยมากเธอผ่านชีวิตการทำงานมามากหลากหลายอาชีพ
ไม่ว่า จะเป็นพนักงานของการบินไทย พนัก งานของบริษัทยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ฝ่าย
ประชาสัมพันธ์ โรงแรมดุสิตธานี ขายเครื่องสำอางนูทรีคอสเมติกส์ ขายประกันเอไอเอ
ประจำอยู่ที่ศูนย์ความงามลาแพรี่ บริษัทมหาทุนพลาซ่า ทำขนมเค้กขาย เล่นละครทีวี
ล่าสุดตอนนี้เธอกำลังทำนิตยสารลิบส์ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาเธออายุครบ
49 ปีเต็ม และยังไม่รู้ว่าชีวิต การทำงานจะลงตัว ณ จุดไหน แต่ ที่สำคัญเธอไม่กลัวการเริ่มต้นใหม่
"เป็นคนทำงานหลายอย่างแล้ว ก็เปลี่ยนงานเยอะ...มาก คนไทยทั่วไปอาจจะมองว่าเป็นคนที่ไม่รักงาน
แล้วไม่เอาจริงเอาจัง แต่พี่ยืนยันว่าทุกครั้งที่เริ่มงานใหม่พี่ตั้งใจทำ
แล้วก็พยายาม ออกมาให้ดีด้วย" วรวิมล เอ่ยกับ "ผู้จัดการ" เป็นประโยคแรกด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
พร้อมๆ กับที่เทปม้วนเก่าม้วนเดิมของเราเริ่มทำงาน
วรวิมลเริ่มทำงานตั้งแต่สมัยยังไม่จบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
งานแรกของเธอคือพนักของการบินไทย และด้วยความเป็นคนสวยระดับดรัมเมเยอร์ไม้
1 ของรั้วเหลือง-แดง ทำให้ช่วงนั้นมีงานถ่ายแบบถ่ายแฟชั่นบ่อยมาก
"ต้องยอมรับเลยว่าเป็นช่วงวัยรุ่น ที่ติดหลงระเริงนิดหน่อย และผลของมัน
ก็คือเข้าธรรมศาสตร์เมื่อปี 2512 ไปจบเอาด้วยปริญญาตรีคณะเศรษฐ ศาสตร์ประยุกต์
ภาคค่ำเมื่อปี 2518 พอจบมาก็มาขายตั๋วให้การบินไทยอีกเหมือนกันแล้วตอนหลังเริ่มเบื่อก็เลยจะเปลี่ยน
ชีวิตตัวเองด้วยการไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ 2 ปี ไปเรียนทางด้านโรงเรียนอนุบาลเพราะอยากเปิดโรงเรียนอนุบาล
สมัยนั้นชอบเด็ก รักเด็กมาก พอเรียนจบปั๊บ ก็อยากเรียน ต่อทางด้านอาหารจะได้ทำอาหารให้กับเด็ก
เลยไปเรียนทำกับข้าวที่ลอนดอน กลับมาถึงเมืองไทยก็คิดจะเปิดโรงเรียน แต่ปรากฏคิดไปคิดมาต้นทุนมันแพงมากก็เลยไม่ทำ
แต่ไปสมัครงานที่ดุสิตธานี แทน
ตอนนั้นคุณหญิงชนัตถ์บอกว่าไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนก็เลยให้เงินเดือนนิดเดียว
แต่ก็อยากทำพอดีตัวเองเคยเดินแบบมาก่อนรู้จักผู้สื่อข่าวเยอะ ทำงานได้ไม่กี่เดือนก็มีผลงาน
ให้คนรู้จักโรงแรมมากขึ้น คุณหญิงก็เลยเพิ่มเงินเดือนให้เท่าที่ขอไว้แต่ทำไปสักพักก็เริ่มรู้ว่า
ไม่ใช่งานที่เราชอบเพราะงานทางด้านพีอาร์ เป็นงานที่ต้องออกสังคมบ่อยตัวเองมีเพื่อนเยอะก็จริง
แต่ถ้าออกงานสังคมบ่อยมากก็ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ทำได้ปีกว่าๆ เองก็ลาออก"
ออกจากดุสิตธานี วรวิมลก็หว่าน ใบสมัครงานไปอีกหลายแห่ง แต่ส่วนใหญ่พอเขาเห็นประวัติการทำงานของเธอที่เปลี่ยนงานบ่อยมาก
ก็พากันส่ายหน้าไม่รับ จนกระทั่งได้ไปสมัครงานที่ นูทรีคอสเมติกส์ และปรากฏว่าได้และ
เป็นงานที่เธอบอกว่ารักมาก ชอบและสนุกที่สุดถ้าเทียบกับงานทั้งหมดที่ทำมา
" ทำงานที่นี่มีความสุขมากเพราะ ตัวหัวหน้าใหญ่ซึ่งป็นคนฮ่องกงนั้นน่ารักมากๆ
เลย เขาจะสอนเราในขณะเดียวกันจะให้เราเป็นตัวของตัวเองมาก ที่สุด มีปัญหาขึ้นมาเขาพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือเราทันที
พร้อมที่จะเป็น ฝ่ายเราคือจากที่เราเคยท่องว่าลูกค้าจะ ต้องถูกเสมอ เขากลับมีคอนเซ็ปต์ว่าลูกน้องเขาต้องถูกเสมอแทนที่จะฟังลูกค้าก่อน
เขากลับฟังเราก่อน นี่คือวิธีการทำงานที่ชอบที่สุดเท่าที่เคยทำงานมา
งานนูทรีนี่จะเป็นงานที่มีวิธีการทำงานให้อิสระเรามากในเรื่องการแสดงความคิดเห็นชอบมาก
และงานตอนนั้นก็ประสบความสำเร็จมากด้วย พี่เป็นผู้จัดการภาคที่ดูแลลูกค้าทางภาค
เหนือทั้งหมด ตั้งแต่อยุธยาไปจนถึงเชียงใหม่ แต่ยอมรับว่าเป็นงานที่เหนื่อยมากเพราะต้องเดินทางเดินสาย
แนะนำสินค้าตลอด เสาร์-อาทิตย์ก็ต้องจัดประชุมไปทั่ว ไม่เคยได้อยู่บ้านเลย
ตอนนั้นไปเปิดศูนย์ใหม่ที่เชียงใหม่ด้วย ต้องไปอยู่ประจำที่เชียงใหม่ อยู่ช่วงหนึ่ง
แล้วยังมีงานเขียนหนังสืออีกนะเพราะช่วงนั้นพี่ติ๋วกนกวรรณออก มาจากดิฉันมาอยู่ที่หนังสือลุคส์
แล้วพอดีตัวเองชอบทำกับข้าวเพราะเรียนมา เกี่ยวกับเรื่องอาหารด้วย ก็เลยเขียนเรื่อง
กินให้อร่อย ประมาณปี กว่าๆ เป็นคนชอบเขียนหนังสือค่ะ เคยเขียนเรื่องสั้นลงหนังสือดิฉันด้วยเลยยุ่งและเหนื่อยมาก
พอดีเจ้านายใจดีทำงานแค่ 11 เดือน ให้หยุด 1 เดือน โดยได้รับเงินเดือนปกติก็เลยวางแผนไปเที่ยวอเมริกา"
การลาเที่ยวครั้งนั้นจะเป็นจุดหักเหของชีวิตครั้งสำคัญ เพราะแทนที่ จะไปเพียง
1 เดือน อย่างที่ตั้งใจเธอกลับใช้ชีวิตอยู่ที่โน่นถึง 11 ปี ชีวิตในช่วงนั้นของเธอนอกจากจะได้ประสบ
การณ์ในการทำงานกับชาวต่างชาติแล้ว เธอยังพบรักที่อบอุ่น แต่โดดเดี่ยว และอ้างว้าง
ในเวลาต่อมา
" พี่ไปพบรักที่โน่น ก็เลยแต่งงาน หลังจากนั้นก็หางานทำ งานร้านอาหารก็เคยทำนะ
ในขณะเดียวกันก็สมัครงานไปด้วย ตอนนั้นคุยกับเพื่อนว่าเราไม่เคยสมัครงานกับฝรั่งทำอย่างไร
ดี ขอคำแนะนำเพื่อน ก็ได้รับคำแนะ นำว่าฝรั่งไม่เหมือนคนไทยนะ เราเคยทำงานอะไรมาบ้างมีประสบการณ์แค่ไหนให้บอกไปให้หมดเลย
และให้บอกเขาไปตรงๆ ว่าเรามาสมัครงานนี่จะเอาแน่ ต้องการงาน และตั้งความหวังไว้มากนะ
ถ้าเป็นในเมืองไทยอ่านใบสมัครเราก็คงต้องส่ายหน้าว่า คุณเธอนี่งานเยอะมากเปลี่ยนงานเป็นว่าเล่น
แล้วในที่สุดก็ได้งานของสายการ บินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ ทำงานที่สนามบิน ดูแลผู้โดยสารต่างประเทศ
เป็นผู้หญิง ไทยคนเดียวในขณะนั้นเพราะเขารับ คนไทยน้อยมาก แต่จะให้ความสำคัญ
พวกญี่ปุ่นมากกว่าเพราะเขาถือว่าญี่ปุ่น เป็นตลาดของเขาดังนั้นหากพูดภาษาญี่ปุ่นได้
หน้าตายังไงก็ไม่มีปัญหารับหมด เราก็เข้าใจนะเพราะว่าโตเกียวเป็นตลาดของเขาจากแอลเอไปโตเกียว
ไฟท์มันเยอะมาก
เป็นงานที่ทำนานที่สุด แต่ก็มีปัญหาเหมือนกันในช่วงแรกๆ เพราะเราไม่เคยทำงานร่วมกับชาวอเมริกัน
ตอนไปใหม่ๆ ปัญหาเลยเยอะมากแล้วเขาก็เหมือนคนไทย ในเรื่องเวลาไม่ชอบใคร เขาก็แยกแยะไม่ได้ว่าเรื่อง
ส่วนตัวหรือเรื่องงาน อยากให้รู้ว่าระบบของฝรั่งเองก็ไม่ได้ดีทั้งหมดคนของเขาไม่ได้แฟร์
ไม่ได้ใจกว้างกันทุกคน ฉะนั้นอย่ามองภาพสวยหรูเกินไป แต่เมื่อทำไปสักพักปัญหาต่างๆ
ก็ค่อยเบาลง ต่อมามีปัญหากับสามีก็เลยแยก ทางกัน พอสามีเลิกก็เริ่มกลับมาเมืองไทยบ่อยขึ้นกลับมาเจอญาติๆ
เพื่อนๆ บ่อยขึ้นมันก็อบอุ่นนะก็เลยตัดสินใจมาอยู่ประจำที่เมืองไทย
งานแรกที่เมืองไทยหลังจากการกลับมาในครั้งนั้นก็คือ เข้าไปช่วยเพื่อน ทำงานที่คลินิกความงามลาแพรีที่โรง-แรมรีเจ้นท์เป็นผู้จัดการดูแลร้านให้เขา
ทำได้พักหนึ่งก็มีปัญหาในเรื่องการทำงานที่ไม่เหมือนกันก็เลยขอลาออก ช่วง
ว่างงานก็มีคนมาชวนไปขายประกันเอไอเอ ก็ไปสอบเป็นตัวแทนเรียบร้อย แต่กลับพบว่าเป็นงานที่ยากที่สุดในชีวิต
คือการทำประกันเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ อยู่อเมริกาเราก็ต้องทำประกันทุกอย่าง
แต่คิดว่าเป็นเรื่องที่พูดให้คนเข้าใจยาก แล้วการที่จะเอาเงินก้อนจากเขาในขณะ
ที่ภาวะเศรษฐกิจเป็นอย่างทุกวันนี้ก็เป็น เรื่องยากเหมือนกันนะ ระบบการจ่ายเงินในเมืองไทยก็ไม่มีแบ่งจ่ายเป็นงวด
ตอนนั้นก็ได้ลูกค้า ก็ลูกค้าในบ้านนั่นแหละ ก็เลยไม่ทำ ไม่ชอบ มันเหมือนเราไปบังคับเขา"
และในช่วงนี้นี่เองที่วรวิมลได้เริ่ม ทำขนมเค้กขายอย่างเป็นจริงเป็นจัง
จริงๆ แล้วเริ่มทำขนมมานานแล้ว เพราะกลับเมืองไทยทีไรส่วนใหญ่ก็จะเป็นหน้าเทศกาลเราก็มาหัดทำขนมขายตอนปีใหม่
เป็นความชอบส่วนตัวอยู่แล้วมีอยู่ช่วงหนึ่งก็ไปเรียนทำขนมปังที่สถาบันยูเอฟเอ็ม
ทำน้ำพริกเป็นขวดๆ ขายบ้าง ทำน้ำพริกจอมเกล้าตามชื่อหลาน แต่ขนมเค้กใช้ชื่อวอร่าตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจทำขาย
หรอกนะ แต่พอได้ถ่ายลงหนังสือดิฉัน หนังสือสกุลไทย ก็เลยมีคนมาสั่งเยอะมาก
ตอนนั้นก็แค่คิดว่าเออทำขนมขายก็ดีเหมือนกันนะ
เค้กที่ชอบมากที่สุดก็คือแครอทเค้ก ตอนนี้ลูกค้าชอบสั่งมาก ทุกอย่างทำเองหมด
ทำเองตลอด มีลูกน้องช่วยในเรื่องของการทาพิมพ์ เตรียมพิมพ์เตรียมกล่อง เก็บล้างแค่นั้น
ตอน ที่เริ่มทำเค้กมะตูมได้สูตรมาจากคุณแม่ เพราะ คุณแม่จดไว้ ข้างในก็เป็นเนื้อมะตูมหน้าก็เป็นมะตูม
คนชอบมาก ยิ่งได้ลงในหนังสือสกุลไทยลูกค้าก็โทรมาสั่ง ตอนนั้นตัวเองภูมิใจ
และตื้นตันใจมากแต่ไม่ใช่ว่าจะเป็นที่ชื่นชอบอร่อย ของทุกคนมันก็มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ
มีที่คนโทรมาว่าก็มี ว่าแบบสาดเสียเทเสียเลยนะ ไม่เห็นจะอร่อยเลยลงหนังสือได้อย่างไง
กลับมาจากเมืองนอกใหม่ๆ มีเพื่อนคนหนึ่งโกรธมาก เลย กินไม่ได้เลยแก ตอนนั้นใช้เตาแก๊ส
ใหญ่มากแล้วทำไม่เป็นเลย เคยทำแต่เตาแก๊สเล็กแต่ตอนนี้สบายแล้วเตาใหญ่ก็ทำได้แล้ว
เมื่อก่อนพี่ทำเช้าแล้วส่งบ่าย ทำเองขายเอง แต่ถ้าลูกค้าที่ไม่รู้จักเลยก็จะให้เด็กไปส่ง
สมัยก่อนเด็กส่งนั่งรถเมล์เราก็ไม่ทันคิดว่าเมืองไทยมันร้อนมาก แล้วเค้กก็ละลายเชียว
โดยเฉพาะ เค้กสตรอเบอรี่มันจะแฉะเลยเชียว โดยเฉพาะช่วงตอนปีใหม่หรือหน้าเทศกาลก็จะขายดีมาก
และตัวเอง ก็สามารถอยู่ได้จากรายได้นี้ ไม่เลวเลย แต่เพื่อนบางคนก็ห่วงอย่างเช่นจีน่า
สนิทพิมพ์จะถามว่า "พี่หญิงๆ จะอยู่ได้ เหรอ" ชอบถามเรื่อยเลยก็บอกอยู่ได้
แล้วอยู่ได้แบบสบายๆ ด้วย สบายใจด้วย
แน่นอนมันเทียบไม่ได้เลยกับเงินเดือนที่เราเคยได้มาก่อนนี้เพราะตอนอยู่ยูไนเต็ดแอร์ไลน์
เราได้เป็นแสน บาทต่อเดือนแต่อยู่ที่โน่น ต้องเสียค่าใช้ จ่ายเยอะ ภาษีเยอะ
แต่อยู่ที่บ้านก็ไม่ต้องจ่าย ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย ตอนแรก ก็ตั้งใจจะอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ
เพราะคิด ว่าอย่างนี้เราก็แฮปปี้ดีแล้ว
มีอยู่ครั้งหนึ่งป้อม คัทลียา เขาชม เราเรื่องเค้กบราวนี่ ก็มีลูกค้ารายหนึ่งสั่งเราแล้วพี่สาวก็จะเป็นคนรับออร์เดอร์
ลูกค้ารายนี้บ้านไกลมากไปทางรามอินทราโน่น เราก็ขับรถไปส่งเอง เข้าซอยผิดเข้าซอยถูกตลอดก็ตั้งใจว่าจะคิดค่าส่ง
50 บาท หลงแบบไม่รู้เรื่องเลยนะแต่ พอไปถึงพบว่าเขามายืนรอค่ะ มายืนรอหน้าบ้านกำเงินไว้จ่ายค่าขนมเค้กเราแล้วบ้านเขาก็เป็นบ้านไม้ธรรมดามาก
เรานี่ภูมิใจมาก ลืมไปเลยความเหนื่อยความหงุดหงิดคือพบว่าเขาตั้งใจมากเลยนะ
ที่จะมากินฝีมือเราแล้วก็ไม่ใช่ถูกๆ เลยนะปอนด์นึงตั้งหลายตังค์ ปลื้มมากเลยนะวันนั้นขับรถกลับบ้านยิ้มมาตลอดทาง
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีความสุขมากจนอยากไปนั่งสมาธิ คนอื่นมีความทุกข์ ถึงจะเข้าวัด
แต่ของเรามีความสุขถึงจะเข้าแล้วคิดว่าตอนนั้นนิ่งได้ต้องนั่งสมาธิได้แน่
ก็เลยไปที่วัดดอนพุด สระบุรี เพราะเคยมีบทเรียนมาแล้วว่าช่วงที่เคยมีทุกข์เพราะเรื่องสามีครั้ง
แรกแต่งงาน 2 หนนะคะก็จะไปวัดราชบพิธเพราะตอนเด็กๆ จะไปวัดนี้กับคุณตาประจำ
แต่กลับไปนั่งร้องไห้ นั่งสมาธิไม่ได้เลย
เลยมีประสบการณ์ว่าถ้ามีปัญหา แก้ด้วยตัวเองก่อนดีที่สุด หวังพึ่งอย่างอื่น
พึ่งใครนี่ไม่ได้หรอก แต่คราวนี้ก็ไม่ได้นั่งสมาธิได้ดีอย่างที่ตั้งใจ เพราะตอนนั้นมีเวลาแค่
4 วันเอง ติดถ่ายหนังค่ะ ถ่ายละครของช่อง 7 เรื่องดาว คนละดวง เล่นเป็นแม่ของพระเอกพีท
ทองเจือ ได้เล่นละครก็เพราะไปส่งขนม เค้กกับเพื่อนก็เลยถามว่าอยากได้คนมา
ถ่ายละครมีไหม ก็บอกว่าทำไมไม่เอาเรา เลยล่ะ ก็เป็นประสบการณ์อีกอย่างหนึ่ง
แล้วก็ชอบนะชอบเล่นอยู่แล้วอยากทำ ให้เก่งขึ้น
แต่ตอนนี้มีปัญหาเรื่องคออีกแล้ว เจ็บมากเพราะเอียงคอปาดขนมเค้กตลอดหาหมอตลอดเลยต้องมาคิดอีกแล้วว่า
นี่ก็คงไม่ใช่สิ่งที่เราจะทำไปได้ตลอดอีกแล้ว
ก็กลับไปอเมริกาอีกครั้งเมื่อเดือน เมษายน 42 ที่ผ่านมาพอดียูไนเต็ดแอร์ไลน์เขาเปิดรับสมัครด้วยแล้วมันก็ยังเป็นงานที่เรารักทำนานที่สุดด้วย
เพราะ ที่โน่นเขาไม่ได้จำกัดอายุก็เลยไปสมัคร ขณะที่ไปค้างอยู่ที่นั่นเพื่อรอคำตอบ
คุณศักดิ์ชัย กาย ลูกน้ำ อานนท์ พวงทับทิม เขาไปถ่ายแฟชั่นที่นั่น ทั้ง 3
คนนี่รู้จักกันมาก่อนแล้วเป็นเพื่อนกันมานานแล้ว ศักดิ์ชัย ก็ชวนว่าที่เขาจะเปิดหนังสือใหม่พี่มาช่วยกันได้มั้ย
ตอนนั้นเราก็ไม่คิดว่าจะมาทำหนังสือ ชอบน่ะชอบ แต่ไม่เคยคิดจริงจังพอเขาชวนหลายครั้งเข้า
พอดีจีน่าเขาไปด้วยเขาก็คะยั้นคะยอก็เลยกลับมาคุยกัน ต่อที่เมืองไทย ก็คุยกันเรื่องคอนเซ็ปต์ของหนังสือเราก็เห็นด้วย
รวมทั้งเห็นความตั้งใจจริงของเขาก็เลยตกลง ตัด สินใจมาช่วยดูงานทางด้านโฆษณาก็งานขายอีกแหละ
ทั้ง 3 คนนี่ต้องยอมรับว่าเขามีประสบการณ์เรื่องหนังสือมานานมีความตั้งใจสูง
ที่จะทำเป็นหนังสือที่ดีให้ทุกคนจับต้องได้ ไม่ใช่ของแพงไปหมด แฟชั่นก็หรูเลิศอย่างเดียวสมัยนี้คนนิยมซื้อหนังสือภาษาไทยหัวนอก
และหัวใน หนังสือหัวในไว้อ่านนวนิยาย เรื่องยาว หัวนอกดูแฟชั่น เลยเอาสอง
อย่างมารวมกัน ก็มองว่าถึงแม้จะเป็นช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ แต่ผู้หญิงอย่างไรเสียต้องอ่าน
แล้วยังขายได้ ทีมงานเองก็ต้อง การป้อนความรู้ให้กับคนด้วยหนังสือเล่มแรกจะวางแผงประมาณวันที่
5 ก.ค. 42
ตอนนี้เวลาไปเจอเพื่อนๆ ใครๆ ก็บอกว่างานนี้เหมาะกับพี่หญิงเลยนะ คงทำได้นานแน่
แล้วก็อยากทำให้ได้จริงๆ เพราะคุณศักดิ์ชัยเองเขาก็มั่นใจในตัวเรามาก ตอนนี้ก็เลยสนุกกับงานชิ้นนี้อีกแล้ว
ก็เลยคิดว่าจะยังไม่กลับอเมริกาแน่
ชีวิตของวรวิมล วันนี้เลยจบลงตรงงานหนังสือ แต่..อย่าเพิ่งสรุป เพราะ ก่อนลาจากกันวันนั้น
เธอยังมีหมายเหตุ แถมท้ายว่า
"ยังไม่แก่นะ ยังอยากทำโน่นทำนี่ ยังสนุก ใครโทรสั่งเค้กก็ยังทำอยู่นะ
แต่มันก็จะกลายเป็นงานอดิเรกไปอีกแล้ว แล้วที่ยังคิดอยู่ทุกวี่ทุกวันก็คืออยากเปิดโรงเรียนสอนทำกับข้าว
เป็น ความอยากอีกอย่างหนึ่ง อยากสอนคน เพราะตอนทำเค้กมะตูมมีคนโทรมาถามสูตรก็บอกเขาหมดเลยเทคนิคการตีไข่
อะไรต่างๆ จนเพื่อนๆ บอกว่าไปบอกเขาได้อย่างไร บอกเขาหมดไม่ได้ แต่เรากลับ
คิดว่าถ้าเขาเอาสูตรเราไปและทำขายเขาก็จะได้อาชีพ"
แล้วชีวิตเธอเมื่อไหร่จะลงตัวกันล่ะนี่...เฮ้อ