บัตร Maestro ของมาสเตอร์การ์ด มาช้า แต่จะขยายเร็ว?!


นิตยสารผู้จัดการ( กรกฎาคม 2542)



กลับสู่หน้าหลัก

Maestro Card เป็นบัตรเดบิตที่ออกให้บริการนานหลายปีแล้ว แต่อาจกล่าวได้ว่าจะเป็นบัตรที่มาแรงหรือจะได้รับความนิยมใช้มากขึ้น ในภาวะเศรษฐกิจหดตัวในปัจจุบัน เพราะบัตรพลาสติกใบนี้เหมาะแก่การบริหารเงินสดของผู้คนยุคนี้อย่างยิ่ง เนื่องจากบัตรเดบิตเป็นบัตรที่ผู้ใช้ต้องมีบัญชีออมทรัพย์และเป็นการใช้เงินของตนเอง ซึ่งจะใช้อย่างไรก็ได้ ขณะที่บัตรเครดิตนั้นมีวงเงินจำกัดการใช้สอย มีค่าธรรมเนียมสูง อัตราดอกเบี้ยสูงและถูกควบคุมดูแลอย่างเข้มงวดในเรื่องการออกบัตรโดยทางการ

ปรีธยุตม์ นิวาศะบุตร ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยของ มาสเตอร์การ์ด อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ มาสเตอร์การ์ด ประเทศไทยเมื่อต้นปีที่ผ่านมาอธิบายว่าปัจจุบันความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอย ของผู้บริโภคเริ่มมีมากขึ้น เห็นได้จากตัวมาสเตอร์การ์ด อินเด็กซ์ ซึ่งในปีก่อนชี้ว่าผู้บริโภคมีความมั่นใจในภาพรวมเศรษฐกิจเพียง 20% ปีนี้กลับเพิ่มขึ้นมาเป็น 40% แล้ว

อย่างไรก็ดี สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากคือวิธีการใช้บัตร ซึ่งเมื่อก่อนนี้ผู้บริโภคจะนิยมจับจ่ายแต่สิ่งของฟุ่มเฟือยหรือ luxury goods แต่ปัจจุบันกลายมาเป็นระมัดระวังการใช้บัตร และจะใช้ในลักษณะเพื่อบริหารเงินให้ชำระได้พอดีแบบเดือนชนเดือน และสินค้าที่มีการซื้อส่วนมากคือซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ต ปั๊มน้ำมัน "จำนวน transaction จะเพิ่มมากขึ้น แต่ยอดต่อการใช้แต่ละครั้งต่ำลง ซึ่งก็ถือว่าเป็นแนวโน้มที่ดี เพราะเราช่วยให้มีการวางแผนการใช้เงินแก่ลูกค้าได้"

เมื่อแนวโน้มตลาดเป็นเช่นนี้ ปรี-ธยุตม์จึงมองการวางแผนเสริมในเรื่องของ debit card แก่กลุ่มลูกค้าในไทย นั่นคือบัตร Maestro ของมาสเตอร์การ์ด ซึ่งตอนนี้มีฐานลูกค้าอยู่ประมาณ 200,000 ใบแล้ว โดยธนาคารผู้ออกบัตร Maestro ในไทยคือ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารนครธน และธนาคารรัตนสิน ซึ่งในจำนวนนี้ธนาคารไทยพาณิชย์มีการออกบัตรมากที่สุด แต่ในอนาคตมาสเตอร์การ์ดกำลังพิจารณาเพิ่มธนาคารผู้ออกบัตรรายใหม่ๆอีก

Maestro เป็นบัตรที่ใช้กับบัญชีออมทรัพย์ของลูกค้า แต่บัตร Maestro มีจุดต่างจาก debit card อื่นๆคือใช้ pin base ซึ่งต้องใช้ร่วมกับเครื่องรูดบัตรหรือ pin pad ให้ลูกค้ากด ขณะที่บัตรคู่แข่งอย่าง Electron card ของ Visa นั้นใช้ signature base ซึ่งเป็นระบบการรักษาความปลอดภัยที่ต่างกัน

อย่างไรก็ดี การใช้ pin base ก็เป็นข้อจำกัดการเติบโตของ Maestro อย่างหนึ่ง เพราะลูกค้าที่เป็นร้านค้าต้องลงทุนในเรื่องเครื่องรูดบัตร ซึ่งมีสนนราคาตั้งแต่ 5,000-6,000 บาท บางเครื่องราคาเป็น 10,000 บาทก็มี ซึ่งปรีธยุตม์เปิดเผยว่า มาสเตอร์การ์ดกำลังพิจารณาที่จะร่วมลงทุน หรือให้ความช่วยเหลือในข้อนี้แก่ลูกค้า

ปรีธยุตม์เปิดเผยว่าฐานบัตรมาสเตอร์การ์ดในช่วงปี 1996-1997 นั้นลดลงไปประมาณ 20,000-30,000 ใบ และยอดการใช้มีมูลค่าลดลงประมาณ 20% สาเหตุมาจากการที่ธนาคารระงับการออกบัตรและปัญหาหนี้เสีย ครั้นในปี 1998 การออกบัตรกลับเพิ่มขึ้นมาประมาณ 10,000 ใบ โดยมูลค่าการใช้จ่ายยังอยู่ในปริมาณเท่าเดิม

นั่นหมายความว่าในสิ้นปี 1998 มาสเตอร์การ์ดมีฐานบัตรอยู่ประมาณ 310,000 ใบ หรือเป็นบัตรที่ยังแอคทีฟ อยู่ โดยเป็นบัตรทั้งที่ออกในประเทศและที่ออกในต่างประเทศแต่นำมาใช้ในประเทศไทย โดยมีสัดส่วนการใช้ 40 : 60 มีมูลค่าการใช้เป็นเงินทั้งสิ้น 267 ล้านเหรียญฯ ส่วนไตรมาสแรกของปี 1999 มียอดการใช้เพิ่มสูงขึ้น 37 ล้านเหรียญฯ เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียว กันของปีที่แล้ว

หากพิจารณาภาพรวมของบัตรเครดิตในประเทศแล้วจะเห็นว่ามีตัวเลขบัตรเครดิตทั้งสิ้นจำนวน 2 ล้านใบ ขณะที่บัตร ATM ซึ่งเป็นบัตรที่ใช้เบิกเงินสดและใช้ร่วมกับบัญชีออมทรัพย์คล้ายคลึงกับ debit card นั้น มีฐานบัตรถึง 15 ล้านใบ บัตร Maestro จึงมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก

นอกจากนี้ทางการยังจำกัดการเติบโตของบัตรเครดิต(credit card) ซึ่งเป็นแนวทางสกัดกั้นหนี้เสียที่ธนาคารชาติเริ่มดำเนินการ มาตั้งแต่เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะวิกฤติในปี 2540 ดังนั้นบัตรเดบิตจึงมีโอกาสที่จะเติบโตได้มากกว่า เพราะเป็นบัตรที่ใช้เงินจากบัญชีออมทรัพย์ที่ลูกค้ามีเม็ดเงินอยู่แล้ว ไม่ใช่ขอสินเชื่อจากธนาคารเหมือนบัตรเครดิต

ปรีธยุตม์เปิดเผยแนวทางที่จะผลักดันการเติบโตของ Maestro ว่าจะเริ่มจับกลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มเด็ก โดยจัดการศึกษาให้พวกเขารู้จักการใช้บัตรเครดิตและบัตรเดบิต โดยจัดทำเป็นแบบกลุ่มสมาชิก นอกจากนี้ก็จะทำโครงการ co-brand ร่วมกับ Postel ของกลุ่มสามารถ ซึ่งปรีธยุตม์มีความคุ้นเคยด้วยดีเพราะเคยร่วมงานกับกลุ่มสามารถมาก่อน ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการและเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทพอสเน็ท จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการเครือข่ายการชำระเงินอิสระที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นผู้นำตลาดของบัตรสมาร์ทการ์ดในประเทศไทย ในเครือของบริษัทสามารถ คอร์ปอเรชั่นด้วย

ก่อนที่จะเข้าร่วมงานกับกลุ่มสามารถ ปรีธยุตม์เคยร่วมงานในแผนกระบบการชำระเงินของบริษัท แมคโดแนล ดักลาส คอร์ปอเรชั่น ในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 12 ปี โดยรับผิดชอบบริหารงานในฝ่ายบริการร้านค้า/ ผู้บริโภคในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ และรับผิดชอบในการให้บริการระบบการชำระเงินอย่างเต็มรูปแบบของบริษัท

แนวทางอีกประการหนึ่งที่จะขยายการใช้บัตร Maestro คือการเพิ่มร้านค้าที่จะรับบัตรมากขึ้น (point of sale) ปัจจุบันมีอยู่ 2,000 ร้านค้า จะเพิ่มให้เป็น 7,000 ร้านภายในปีนี้ ขณะที่ยอดฐานลูกค้า Maestro เองก็มีโครงการที่จะเพิ่มยอดให้ได้เป็น 500,000 ราย ทั้งนี้ฐานลูกค้าเดิมส่วนมากจะใช้ Maestro ในลักษณะของการเบิกเงินสด เป็นเสมือน ATM card แต่ต่อไปบริษัทมีโครงการเน้นเรื่องการซื้อสินค้าจากร้านค้าดังที่กล่าวมามากขึ้น

ปรีธยุตม์กล่าวว่า "เนื่องจากการ เติบโตของบัตรเครดิตมีข้อจำกัดอยู่มาก เราจึงเปลี่ยนแนวทางให้ลูกค้ามาใช้บัตร Maestro มากขึ้น โดยจะจับกลุ่มที่ยังไม่พร้อมที่จะมีบัตรเครดิต ทั้งในเรื่องของอายุและรายได้ และการให้การศึกษาแก่คนกลุ่มนี้ให้สามารถใช้บัตรได้ถูกต้อง คุ้นเคยกับการซื้อของด้วยบัตร ซึ่งเราก็หวังว่าเมื่อคนกลุ่มนี้โตขึ้นมาก็จะมีความรับผิดชอบในเรื่องการใช้บัตรมากขึ้น"

โปรแกรมรูปธรรมที่มาสเตอร์การ์ดจะสนับสนุนนอกจากที่กล่าวมาข้างต้น ได้แก่ การเป็น sponsorship รายการ Formula One และรายการ Euro 2000 เป็นต้น



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.