แม่โขงเกิดที่โรงงานสุราบางยี่ขัน ซึ่งตั้งอยู่ที่ปากคลองบางยี่ขัน ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก
ในท้องที่แขวงบางปูน เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร อันเป็นโรงงานมีประวัติเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองมาแต่ครั้งเริ่มสร้างกรุงเทพมหานคร
ซึ่งเคยเรียกกันว่ากรุงรัตน โกสินทร์
สุนทร ภู่ บรมจินตกวีของไทยก็ยังเคยเขียนนิราศกล่าวถึงโรงงานสุราบางยี่ขันนี้
"ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง
มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา"
ในสมัยนั้นโรงงานสุราบางยี่ขัน เป็นสมบัติของนายอากร ซึ่งได้รับอนุญาตจากรัฐบาล
ให้ทำการผูกขาดผลิตสุราออกจำหน่ายในกรุงเทพมหานคร ซึ่งอาจรวมถึงหัวเมืองที่อยู่ติดต่อใกล้เคียงด้วย
สุราที่ผลิตคงเป็นสุราขาวหรือที่เรียกตามภาษาตลาดว่า เหล้าโรง
ในปีพ.ศ.2457 โรงงานสุราบางยี่ขัน จึงได้ตกมาเป็นสมบัติแผ่นดินโดยบัญญัติของกฎหมายสุรา
กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง ได้เป็นผู้ปกครองดูแลโรงงานนี้ตลอดมา แต่ได้เรียกประมูลเงินผลประโยชน์เข้ารัฐในรูปต่างๆ
เช่น เงินพิเศษ เงินค่าปรับเนื่องจากจำหน่ายสุราต่ำกว่าจำนวนที่กำหนดในสัญญา
ฯลฯ แล้วตั้งผู้ประมูล ได้ให้เป็นผู้รับอนุญาตผลิตสุราออกจำหน่าย ภายในเขตที่กำหนดให้เป็นเขต
จำหน่ายสุราของโรงงานมา
พ.ศ.2470 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล ที่
7 ซึ่งการปกครองยังเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ครบกำหนดหมดอายุสัญญา อนุญาตให้ต้มกลั่นและจำหน่ายสุรา
ซึ่งพระสวามิภักดิ์ภูวนารถเป็นผู้รับอนุญาต คู่สัญญากับกรมสรรพสามิตคนสุดท้าย
กรมสรรพสามิตจึงได้ระงับการอนุญาตให้เอกชนเป็นผู้รับอนุญาตผลิตและจำหน่ายสุรา
และกรมสรรพสามิตได้เข้าทำการผลิตสุราที่โรงงานสุราบางยี่ขันเอง แต่การจำหน่ายคงใช้วิธีประมูลเงินผลประโยชน์ตั้งผู้ทำการขายส่งเป็นเขตๆ
ไป
สุราที่กรมสรรพสามิตทำการผลิตจำหน่ายยังคงเป็นสุราขาวอยู่ตามเดิม แล้วภายหลังได้ผลิตสุราผสม
โดยใช้เครื่องสมุนไพรตามเภสัชตำรับของยาดองเหล้าในครั้ง โบราณสกัด โดยแช่ในสุราดีกรีสูง
ทำเป็นน้ำเชื้อ แล้วนำมาปรุงแต่งรส กลิ่น สี และแรงแอลกอฮอล์ตามกรรมวิธีเป็นสุราผสมโดยไม่ผสมกับโซดา
ทั้งนี้เพื่อสนองความต้องการของประชาชนที่นิยมดื่มยาดองเหล้าแทนสุราขาว
ต่อมากรมสรรพสามิตได้พยา-ยามพัฒนาการทำสุราผสมไปเป็นการทำสุราปรุงพิเศษ
โดยค้นคว้าทดลอง สกัดทำน้ำเชื้อที่จะใช้ในการปรุงจากเครื่องสมุนไพรต่างชนิด
กับที่ใช้ในการทำสุราผสม และสุราปรุงพิเศษนี้จะดื่มโดยผสมโซดาหรือไม่ผสมโซดาก็ได้
เพราะกำลังมีผู้นิยมดื่มสุราผสมโซดากันอย่างแพร่หลาย ซึ่งก็มีแต่สุราประเภทวิสกี้จากต่างประเทศเท่านั้น
ต้องอาศัยเป็นผู้มีรายได้สูงจึงจะดื่มได้เพราะวิสกี้มีราคาแพง ถ้าหากหันมาดื่มสุราปรุงพิเศษของไทยแทนวิสกี้
ก็จะเป็นการประหยัด และไม่สิ้นเปลืองเงินตราต่างประเทศในการสั่งซื้อวิสกี้เข้ามาจำหน่าย
สุราปรุงพิเศษที่กรมสรรพสามิตได้ผลิตจากโรงงานสุราบางยี่ขันออกจำหน่ายเป็นครั้งแรกคือ
สุรา ว.ก. (เรียกแทนวิสกี้) และสุรา บ.ด. (เรียกแทนบรั่นดี)
ต่อมาในไม่ช้าประเทศไทยเรียกร้องดินแดน ที่ฝรั่งเศสได้ใช้อำนาจบีบบังคับเอาไปผนวกเข้ากับประเทศ
ในอาณานิคมของตนคืนจากฝรั่งเศส จนเกิดเป็นกรณีพิพาทกันขึ้น และหลวงวิจิทรวาทการ
ได้ประพันธ์เพลงปลุกใจคนไทยให้รักชาติและกล้าเข้าสู่สมรภูมิ ดูเหมือนเพลงจะชื่อว่า
"ข้ามโขงไปสู่แคว้นแดนไทย" และ "โขงสองฝั่งเหมือน ฝั่งเดียวกัน"
อิทธิพลของเพลงจูงใจให้กรมสรรพสามิตตั้งชื่อสุราปรุงพิเศษ 35 ดีกรีที่ได้ผลิตขึ้นใหม่ในปีพ.ศ.2484
ว่า "แม่โขง" อันนับได้ว่าเป็นนามตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จนกระทั่ง
ณ บัดนี้ นับเวลาได้ 40 ปี ก็ยังคงดำรงอยู่และจะคงดำรงต่อไปชั่วกาลนาน
ในสมัยที่มีการผลิตสุราแม่โขง
ออกสู่ตลาดนั้น น.ต.จบ ศิริไพบูลย์ ร.น. เป็นผู้อำนวยการ โรงงานสุราบางยี่ขัน
หลวงบรรณกรรัชตภัณฑ์ เป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงงาน และนายประเสริฐ เทพหัสดิน
ณ อยุธยา เป็นพนักงานชั้นหัวหน้าของโรงงาน
เมื่อได้มีพระราชบัญญัติจัดตั้งกระทรวงอุตสาหกรรมขึ้นเมื่อวันที่ 5
พฤษภาคม 2486 ซึ่งเป็นระยะที่สงคราม โลกครั้งที่ 2 ได้ขยายตัวมาสู่เอเชียบูรพา
และประเทศไทยได้เข้าอยู่ในสถานะสงครามด้วย โรงงานสุราบางยี่ขันพร้อม ด้วยโรงงานสุราจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
และโรงงานสุราจังหวัดสงขลา ได้ถูกโอนจากกรมสรรพสามิตรวมเป็นโรงงานสุราในกรมโรงงานอุตสาหกรรม
ซึ่งเป็นส่วนราชการของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามพระราชบัญญัติดังกล่าว
หลวงบรรณกรรัชตภัณฑ์ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ โรงงานสุรากรม
โรงงานอุตสาหกรรม ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2488 แทน น.ต.จบ ศิริไพบูลย์
ร.น. ซึ่งได้ถึงแก่กรรม
นอกจากได้ริเริ่มที่จะใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์แผนใหม่ในบางขั้นตอนของการผลิตสุราแม่โขง
เป็นการเร่งผลิตทั้งในทางคุณภาพ และปริมาณในขั้นต่อไปดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
ยังเป็นผู้ทำการเปลี่ยนแปลงภาพพจน์ของสุราแม่โขงอีกหลายอย่าง เป็นต้นว่า
ได้เปลี่ยนใช้ขวดกลมขาวขนาด 750 ลูกบาศก์เซนติเมตร บรรจุแทนขวดกลมสีเขียวขนาด
625 ลูกบาศก์เซนติเมตร ที่ได้ใช้อยู่เดิม ส่วนฉลากก็เปลี่ยนจากฉลากพื้นขาวลวดลายเขียนอย่างง่ายๆ
สีเขียวมาใช้ฉลากพื้นขาวมีคำว่า "แม่โขง" เขียน เป็นลวดลายสีแดง ซึ่งใช้เป็นสัญลักษณ์ของสุราแม่โขงมาจนกระทั่งในปัจจุบัน
ปากขวดเดิมใช้ชุบครั่งแดงหุ้มจุก ก็ได้เปลี่ยนใช้แคปซูลตะกั่วผลิตจากโรงกษาปณ์กระทรวงการคลังแทน
ซึ่งเป็นการเปลี่ยนโฉมสร้างความน่าดูและความเชื่อถือในคุณภาพให้แก่สุราแม่โขงยิ่งขึ้น
ส่วนประกอบต่างๆ ของสุราแม่โขงนี้ ได้รับการปรับปรุงวิวัฒนาการในสมัยหลวงบรรณกรรัชตภัณฑ์
เป็นผู้อำนวยการ และในสมัยต่อมาอีกหลายประการ รวมทั้งได้ใช้ขวดแบนสีขาว ขนาด
375 ลูกบาศก์เซนติเมตร และ 187.5 ลูกบาศก์เซนติเมตร ออกจำหน่ายด้วย
ความต้องการบริโภคสุราแม่โขงได้เพิ่มตัวสูงขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง โดยความขาดแคลนสุราต่างประเทศ
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังดำเนินอยู่ เป็นกำลังกระตุ้นเตือนแต่เมื่อได้หมดภาวะสงคราม
มีสุราต่างประเทศ ตกเข้ามามีปริมาณเพิ่มอยู่เรื่อยๆ ความต้องการบริโภคสุราแม่โขงก็คงยังมีเพิ่มขึ้นมากตลอดมา
ทำให้การบรรจุสุราลงขวดเพื่อส่งออกจากโรงงานไปเพื่อการจำหน่าย จำเป็นต้องใช้เครื่องจักรกลเข้าช่วยนับตั้งแต่ชั้นทำความสะอาดของขวดจนถึงการบรรจุสุราลงขวด
จึงได้มีการสร้างอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กเพื่อตั้งเครื่องล้างขวด และบรรจุสุรา
และได้ทำการสั่งซื้อเครื่องจากประเทศฝรั่งเศสในสมัยนายนิตย์ ใบเงิน เป็นผู้อำนวยการโรงงานสุรา
แต่ด้วยความจำเป็นบางประการ ได้ระงับการประกอบ ติดตั้งเครื่องซึ่งได้เข้ามาถึงแล้ว
ต่อมารัฐบาลในปีพ.ศ.2502 มีนโยบายให้เอกชนเช่าโรงงานสุราบางยี่ขันไปทำการผลิตสุราออกจำหน่าย
ตั้งแต่ปีพ.ศ.2503 เป็นต้นไป มีกำหนดระยะเวลา 10 ปี ซึ่งบริษัทสุรามหาคุณ
จำกัด ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้เช่าโดยเสียค่าเช่าปีละ 41 ล้านบาท แล้วภายหลังบริษัทน
ี้ได้รับการต่อสัญญาอีก 10 ปี นับตั้งแต่ปีพ.ศ.2513 โดยเสียค่าเช่าปีละ 55
ล้านบาทกับส่วนแบ่งผลกำไรสุทธิอีกร้อยละ 25
บริษัท สุรามหาราษฎร จำกัดได้เข้าประมูลในปีพ.ศ.2522 ให้เงินค่าสิทธิสูงสุดและได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้เช่าโรงงานสุราบางยี่ขัน
ตั้งแต่ปีพ.ศ.2523 มีกำหนด 15 ปี
(จากผู้จัดการฉบับเดือนเมษายน 2527)