สถานการณ์สำหรับมหาเดร์
มูฮัมหมัด (Mahathir Mohamad) นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ยามนี้กับเมื่อ ปีที่แล้วแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2541 มา-เลเซียเริ่มต้นนโยบายคุมเข้มด้านเงินทุน
หรือ capital controls รวมทั้งกำหนด ค่าเงินริงกิตไว้ตายตัวที่ 3.8 ริงกิตต่อ
1 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นมาตรการสำคัญในการตอบโต้ "นักเก็งกำไรค่าเงิน"
ที่ก่อให้เกิดวิกฤตการเงินอย่างรุน แรงในเอเชียและลุกลามไปทั่วโลก
เกือบจะทันทีที่มาเลเซียประกาศ ใช้มาตรการดังกล่าว กองทุนการเงินระหว่างประเทศ
หรือไอเอ็มเอฟ (IMF) ได้ออกมาวิจารณ์ว่า เป็นการทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ
ซึ่งบรรดานักเศรษฐศาสตร์สายไอเอ็มเอฟทั้งหลาย ต่างก็วิเคราะห์วิจารณ์ว่า
นายกรัฐมนตรี มาเลเซียกำลังนำพาประเทศไปสู่หายนะ ที่หนักข้ออย่าง จอร์จ โซรอส
(George Soros) มหาเศรษฐีชาวอเมริกันซึ่งได้ชื่อว่าเป็นนักเก็งกำไรค่าเงินตัวยง
และถือได้ว่าเป็น "คู่ปรับ" คนสำคัญของมหาเดร์ ก็ถึงกับออกมาเรียกร้องให้
นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย พ้นจากตำแหน่ง ซึ่งปรากฏว่ามีเสียงขานรับพอสมควร รวมทั้งในมาเลเซียเอง
เนื่องจากพร้อมๆ กับการปรับเปลี่ยนนโยบายทางด้านการเงิน นายกรัฐมนตรีมหาเดร
์ก็ดำเนินการกวาดล้างกลุ่มการเมือง ที่เชื่อถือศรัทธาแนวทางของไอเอ็มเอฟในมาเลเซียอีกด้วย
ซึ่งแนวทางดังกล่าวนั้นทราบกันดีว่านำโดยอดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีคลังของมาเลเซียคือ
อันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim)
แต่มากันยายน ปีนี้...หนึ่งปีผ่านไป นอกจากมาเลเซียจะไม่หายนะตามที่
"เด็กดี" ของไอเอ็มเอฟทั้งหลายคาดหมาย สถานการณ์ยังกลับดูเหมือนว่า
มาเลเซียจะอยู่ในแถวหน้าของประเทศในเอเชียที่กำลังฟื้นตัวจากภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ
แม้กระทั่ง ไอเอ็มเอฟเองก็ออกมายอมรับความจริงในแถลงการณ์ เมื่อวันที่ 8
กันยายนนี้ว่า การดำเนินนโยบาย capital controls ของมาเล-เซียให้ผลดีกว่าที่คนจำนวนมากคาดไว้
โดยเฉพาะการกำหนดค่าเงินตายตัวนั้นกลับส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของมาเลเซีย แต่กระนั้น
ในคณะกรรมการของไอเอ็มเอฟก็ยังมีความเห็นที่แตกต่างกันว่า มาเลเซียควรจะดำเนินนโยบายนี้ต่อไปหรือควรจะยกเลิก
รวมทั้งเรื่องการกำหนดค่าเงินนั้นควรจะคงตายตัวอยู่อย่างนี้หรือควรจะยืดหยุ่น
ไม่เพียงแต่เท่านั้น ไอเอ็มเอฟยังมองว่า ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของมาเลเซีย
จะทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความเชื่อมั่นมากขึ้นและจะดึงดูดเงินทุนระยะยาว
ซึ่งจะค้ำจุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของมาเลเซียให้ยั่งยืนอีกด้วย
นอกจากไอเอ็มเอฟแล้ว ในวันที่ 14 กันยายนที่ผ่านมา ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชียหรือ
เอดีบี (ADB) ก็ ได้ ออกมาบอกว่า มาเลเซียเริ่มพ้นจากภาวะ เศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรงแล้ว
และคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประ-เทศ (GDP) ของมาเลเซียในปีนี้จะโต 2 เปอร์เซ็นต์
และเป็น 3.9 เปอร์เซ็นต์ในปีหน้า
ขณะที่รัฐบาลมาเลเซียคาดไว้ว่าปีนี้ GDP จะโต 1 เปอร์เซ็นต์และเป็น 5 เปอร์เซ็นต์ในปีหน้า
ส่วนสำนักข่าวรอยเตอร์ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ได้ทำการสำรวจความเห็นของสำนักงานวิจัยทางเศรษฐ
กิจ 10 แห่งก็พยากรณ์ว่า GDP ของมาเลเซียในปีนี้จะโต 4.4 เปอร์เซ็นต์ และโต
5.3 เปอร์เซ็นต์ในปีหน้า
สิ่งเหล่านี้นี่เองที่ตอกย้ำว่า การตัด สินใจดำเนินนโยบายดังกล่าวของนายกรัฐมนตรีมหาเดร์แห่งมาเลเซีย-ไม่ผิด!
นายแพทย์มหาเดร์ มูฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ของมาเลเซียขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขฝ่ายบริหารตั้งแต่ปี
2524 ขณะนี้นับเป็นผู้นำในเอเชียที่อยู่ในอำนาจนานที่สุด ฝ่ายที่สนับสนุนมหาเดร์มองว่า
ความยาวนานในอำนาจถึง 18 ปีนี้เองที่ทำให้เขาสามารถสร้างสิ่งต่างๆ ให้กับมาเลเซียได้มากและอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ฝ่ายคัดค้านก็เห็นว่า ความยาวนานนี้นำมาซึ่งลัทธิอำนาจนิยม และลัทธิพรรคพวก
มหาเดร์เกิดเมื่อวันที่ 20 ธันวา-คม 2468 ที่อะลอร์สตาร์ รัฐเคดาห์
บิดาเป็นครูใหญ่ชาวมาเลย์คนแรกของโรงเรียนอังกฤษในรัฐนั้น มหาเดร์เข้าร่วมกับพรรคอัมโน
(UMNO) มาตั้งแต่ก่อตั้งพรรค ก่อนที่เขาจะจบการศึกษา ทางด้านการแพทย์จากมหาวิทยาลัยมาลายา
ซึ่งขณะนั้นตั้งอยู่ที่สิงคโปร์ ซึ่งต่อมาเขาได้กลับมาเปิดคลีนิกชื่อ "มหาคลีนิก"
ที่บ้านเกิดในปี 2500 หนึ่งปีหลังจากที่เขาแต่งงาน กับแพทย์หญิงสิตีฮัสมาห์
(Siti Hasmah) ครอบครัวของผู้นำมาเลเซียมีบุตรและธิดา 7 คน เป็นบุตรบุญธรรม
2 คน
ความเป็นแพทย์นับเป็นความภาคภูมิใจของมหาเดร์อย่างมากและต้อง ถือว่าเขาได้รับการยอมรับจากประชาชนโดยเฉพาะที่อะลอร์สตาร์บ้านเกิดก็จากบทบาทของ
"หมอ" ที่ให้ความช่วยเหลือ แก่ผู้ยากไร้ และเมื่อเขามาเป็นนักการเมือง
เขาก็มิได้ทิ้งความเป็น "หมอ" เขาได้นำความรู้ดังกล่าวมาวินิจฉัยและเยียวยา
ปัญหาของชาติด้วยจิตใจของคนเป็น "หมอ"
สำหรับมหาเดร์แล้วการถูกฝึกมาให้เป็นแพทย์นั้น มีประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตมากมายหลายด้านด้วยกัน
โดยเฉพาะกระบวนการวิเคราะห์ เหมือนอย่างที่เซอร์ อาร์เธอร์ โคแนน ดอยล์ (Sir
Arthur Conan Doyle) นายแพทย์นักเขียนใช้กระบวนการดังกล่าวสร้างตัวละครที่เป็นนักสืบผู้เก่งกาจ
อย่างเชอร์ล็อก โฮล์มส์ (Sherlock Holmes) ขึ้นมา
ความโดดเด่นที่สุดของผู้นำมา-เลเซียผู้นี้ที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงอยู่เสมอก็คือความกล้าหาญ
ที่เขาพร้อมจะต่อสู้หัวชนฝาในสิ่งที่เขาไม่เห็นด้วย ไม่ว่าจะเป็นภายในพรรคการเมืองที่เขาสังกัด
ในรัฐบาล หรือกับมหาอำนาจตะวันตกที่ผู้นำในเอเชียส่วนใหญ่พร้อมที่จะเป็นผู้ตามโดยไม่เกี่ยงงอน
ในจำนวนนั้นไม่รวมมหาเดร์ด้วย อย่างแน่นอน!
มหาเดร์เป็นชาวเอเชียที่ยืนหยัดเชิดชูค่านิยมเอเชียและมาเลเซียอย่างเหนียวแน่น
เขาเชื่อมั่นในประวัติศาสตร์ อันรุ่งโรจน์ของเอเชียในอดีตซึ่งเขาเชื่อว่า
ถ้าหากเอเชียสามารถเรียนรู้ทักษะด้านอุตสาหกรรมจากโลกตะวันตก ขณะที่ยังสามารถรักษาคุณค่าทางวัฒนธรรมของตัวเองไว้ได้
เมื่อนั้นเอเชียจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง และแม้ว่ามหาเดร์จะถูกมองว่ามีแนวความคิดต่อต้านตะวันตก
แต่แท้จริงแล้วเขากลับเปิดประเทศรับการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ
มาใช้ในการ พัฒนาประเทศทางด้านอุตสาหกรรม จนอาจกล่าวได้ว่า เวลานี้มาเลเซียคือศูนย์กลางทางอิเล็กทรอนิกส์ในภูมิภาคนี้
สิ่งที่สำคัญสำหรับมหาเดร์ในการ คบหากับตะวันตกอยู่ตรงที่ จะต้องเป็นความสัมพันธ์ที่สมดุลและเสมอภาค
บุคลิกของมหาเดร์ เป็นคนที่พูดค่อยและมีท่าทีสุภาพนุ่มนวล โกรธยาก แต่ก็พร้อมที่จะดุดันเป็นที่รู้กันดีว่า
ทุกครั้งที่เขาโกรธเกรี้ยวจะต้องมีเหตุผลที่สำคัญอย่างยิ่ง ไม่ใช่เป็นเรื่องอารมณ์เสียตามปกติ
คนที่ทำงานกับมหาเดร์และชื่นชมเขาบอกว่า มหาเดร์มีจิตใจประชาธิปไตย รับฟังความเห็นของคนอื่นและพร้อมที่จะเปลี่ยนจุดยืน
ถ้าความคิดเห็นดังกล่าวดีกว่า แต่ขณะเดียวกันก็หนักแน่นมั่นคงในฐานะผู้นำ
และในฐานะผู้นำนี่เอง ที่ทำให้เวลาส่วนใหญ่ของนายกรัฐมนตรีมหาเดร์ จะอยู่กับงานเวลาที่จะให้กับครอบครัว
จึงมีน้อยมาก แต่กระนั้นเขาก็ยังหาเวลา รับประทานอาหารร่วมกับภริยาในบางมื้อ
รวมทั้งใช้เวลาร่วมกับครอบครัวในช่วงวันหยุด สำหรับยามว่างงานอดิเรกของนายกรัฐมนตรีมาเลเซียก็
คืองานช่างไม ้ถ้าเป็นกีฬาก็จะเป็นกีฬาที่สามารถเล่นคนเดียวได้จากสิ่งเหล่านี้นี่เองที่ทำให้เขาถูกวิจารณ์ว่าเป็นคนรักสันโดษ
ซึ่งอาจแปลได้ว่า "ไม่เอาใคร" นอกจากนั้น งานอดิเรกอีกอย่างหนึ่งที่ผู้นำมาเลเซียเคยโปรดปรานในอดีตแต่ปัจจุบันลดน้อยลง
ก็คือการเป็นพ่อครัวหัวป่าก์สาเหตุที่ลดลงก็เพราะต้องควบคุมอาหาร
นายกรัฐมนตรีมาเลเซียผู้นี้ วางทายาททางการเมืองที่จะมาสืบทอดต่อจากเขาคนแล้วคนเล่า
แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ดังใจ ทุกคนมีอันเป็นไปจนหมดสิ้น รวมทั้งอันวาร์ อิบราฮิม
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังเดินหน้าทำหน้าที่ผู้นำประเทศอย่างเข้มแข็งโดยไม่หวาดหวั่นต่อคำ
วิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ทั้งสิ้น... 18 ปีในอำนาจทำให้เขากลายเป็น "สิงห์เฒ่า"
ที่ประสบการณ์เชี่ยวกราก เขาอาจจะมีข้อด้อยอยู่ไม่น้อย แต่เขาก็มีข้อดีอยู่มากโดยเฉพาะการที่เขาสามารถทำให้มาเลเซียที่ประกอบด้วยคนสามเชื้อชาติหลัก
(จีน-มาเลย์-ทมิฬ) สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติบนหลักการ "ความสามัคคี
แห่งชาติ" นอกจากนั้น เขายังเป็นผู้ที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ที่สำคัญเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์และหยิ่งในความเป็นเอเชีย
สิ่งเหล่านี้นี่เองที่ทำให้มหาเดร์ มูฮัมหมัด ยิ่งใหญ่!
อย่างที่กล่าวมาแล้วในตอนต้นว่า สถานการณ์ระหว่างมหาเดร์กับโลกตะวัน ตกโดยเฉพาะกับไอเอ็มเอฟในปีนี้กับปีที่แล้ว-แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเคยกล่าว ไว้เมื่อปีที่แล้วว่า มาเลเซียจะเป็นประ-เทศแรกๆ
ในเอเชียที่ฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยสำทับว่า การที่จะฟื้นตัวได้ไม่ใช่เรื่อง
ที่จะมานั่งทอดหุ่ยและรอคอยไปวันๆ แต่ จะต้องสร้างความแข็งแกร่งที่แท้จริงขึ้นมาด้วยการบริหารจัดการที่ดีและการใช้ทรัพยากรต่างๆ
ที่มีอยู่ให้ได้ประโยชน์สูงสุด
มหาเดร์ยังบอกด้วยว่าถ้าหากมาเลเซียตัดสินใจเข้าโครงการและดำเนินนโยบายตามที่ไอเอ็มเอฟกำหนดเศรษฐ
กิจมาเลเซียจะหยุดชะงักทั้งหมด!
นั่นหมายถึงก็จะไม่มีมาเลเซียวัน นี้...วันที่มาเลเซียมีสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโดยการยอมรับของไอเอ็มเอฟ
เมื่อเป็นเช่นนี้ จะไม่ให้เขียนถึง "นักรบแห่งเอเชีย" ผู้นี้ได้อย่างไร.