World Economic Forum สถาบันจัดอันดับขีดความสามารถในการ แข่งขันแต่ละประเทศทั่วโลก
ได้สะท้อน ภาพประเทศเอเชีย ประเทศสมาชิกอาเซียนบางแห่ง สามารถรักษาฝีไม้ลายมือการบริหารเศรษฐกิจของตน
ได้อย่างเฉียบขาด ขณะที่บางประเทศกลับถูกค้นพบว่าหมดเขี้ยวเล็บ
วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย เปรียบเสมือนบทพิสูจน์ความสามารถในการบริหารจัดการเศรษฐ
กิจในช่วงที่ผ่านมาของแต่ละประเทศ อีกทั้งเป็นการวัดฝีมือผู้กุมบังเหียนเศรษฐกิจด้วย
ว่าจะฉุดให้เศรษฐกิจผ่านพ้นจากความเลวร้ายไปได้อย่างรวดเร็วเพียงใด ปัจจุบันเศรษฐกิจเอเชียมีทิศทางสดใสขึ้น
แรงผลักดันสำคัญคือ การใช้จ่ายภาครัฐของแทบทุกประเทศที่อัดฉีดหล่อลื่นให้กลไกเศรษฐกิจเริ่มหมุน
เพื่อกระตุ้นให้ธุรกิจเอกชนฟื้นตัวเป็นปกติ โดยเฉพาะภาคการส่งออกซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจ
เอเชียดีขึ้น แต่ขณะนี้การค้าแบบไร้ พรมแดนมีความยุ่งยากซับซ้อน ประเทศ ที่ยืนหยัดและช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดโลกได้หนีไม่พ้นการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง
ทั้งการปรับลด ต้นทุน ปรับปรุงคุณภาพ ตลอดจนการให้บริการลูกค้าอย่างซื่อสัตย์และตรงเวลา
สิงคโปร์-ฮ่องกง-ไต้หวัน : เข้มแข็ง
ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่างๆ จำนวน 59 ประเทศ
โดย World Economic Forum ปรากฏว่า สิงคโปร์ รั้งอันดับ 1 (แชมป์ 4 สมัย)
ในฐานะประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงสุดประจำปี 2542
สิงคโปร์มีขีดความสามารถในการแข่งขันเหนือชั้นกว่าประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะด้านประสิทธิภาพการบริหารงานของรัฐบาล
วิสัยทัศน์กว้างไกลและโปร่งใส คุณภาพการศึกษา ตลาดแรงงานยืดหยุ่นตอบสนองธุรกิจได้ทุกประเภท
การค้าคล่องตัวเน้นแข่งขันเสรี อีกทั้งยังได้ชื่อว่ามีอัตราการออมและอัตราการลงทุนอยู่ในระดับสูง
รวมทั้งสัดส่วนการออมของภาครัฐต่อผลิต ภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) สูง
ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้สิงคโปร์สามารถรักษาศักยภาพในการแข่งขันในเวทีโลกไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
ด้านฮ่องกง แม้จะโดนพิษเศรษฐกิจเอเชียเล่นงานอย่างแสนสาหัส แต่สามารถยืนหยัดคว้าอันดับ
3 ได้สำเร็จ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฮ่องกงมีขีดความสามารถในการแข่งขันอยู่ในเกณฑ์สูง
คือ นโยบายการเปิดเสรีทางการค้าและธุรกิจ เอกชนมีอิสระและบทบาทสำคัญในธุรกิจ
ปลอดการแทรกแซงจากรัฐบาล ทำให้การบริหารจัดการธุรกิจมีประสิทธิภาพอย่างเห็นได้ชัด
ขณะที่ไต้หวันได้วางกลยุทธ์ที่เกื้อหนุนธุรกิจเอกชนขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs) อย่างทั่วถึงทำให้เศรษฐกิจแข็งแกร่ง ส่งผลให้ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของไต้หวันสูงถึง
95,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงเป็นอัน ดับ 3 ของโลก รองจากญี่ปุ่น และจีน ทำให้ไต้หวันเป็นประเทศเอเชียเพียงประเทศเดียวที่ขยับฐานะความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้นเป็นลำดับ
ปัจจุบันรั้งอันดับ 4 ของการจัดอันดับครั้งนี้
ไทย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ : อ่อนแอ
กลุ่มประเทศที่เข้าโปรแกรมความ ช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
(IMF) ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้ ล้วนมีฐานะย่ำแย่ลงถ้วนหน้า โดยเฉพาะไทย
ขีดความสามารถในการแข่งขันถอยหลังเข้าคลอง 4 ปีซ้อน จากอันดับ 14 ในปี 2539
ร่วงลงมาอยู่อันดับ 30 ในปีนี้ ส่วนเกาหลีใต้และอินโดนีเซียถูกลดอันดับลงเช่นกันในปัจจุบัน
ขีดความสามารถในการแข่งขัน ของเกาหลีใต้จัดอยู่อันดับ 22 เทียบกับอันดับ
19 ในปี 2541 และอินโดนีเซีย อยู่อันดับ 37 ในปีนี้ เทียบกับอันดับ 31 ในปี
2541 ส่วนเวียดนาม หล่นลง 9 อันดับ โดยปีนี้รั้งอันดับ 48
อย่างไรก็ดี แม้ประเทศในกลุ่มอาเซียนจะได้รับผลกระทบจากวิกฤต แต่สิงคโปร์
มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ กลับรักษาอันดับความสามารถในการแข่งขันของตนไว้ได้เท่าเดิม
โดยเฉพาะ มาเลเซีย มีฐานะสูงขึ้นจากเดิม 1 ตำแหน่งเป็นอันดับ 16 ในปีนี้
World Economic Forum ชี้จุดบอดของชาติเอเชียที่ฉุดให้เศรษฐกิจตกต่ำและความสามารถในการแข่งขันถดถอย
ประการแรก คือ เงินกู้ระยะสั้นจากต่างประเทศมีจำนวนมาก และจัดเป็นหนี้เสียที่อันตรายถ้าการบริหารมีความหย่อนยาน
ซึ่งดัชนีพื้นฐานสิ่งหนึ่งที่บ่งชี้ความมั่นคงฐานะการเงินของประเทศ ได้แก่
สัดส่วนหนี้สินต่างประเทศระยะสั้นต่อทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ (debt-reserve
ratio)
กรณี ไทย อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้ ล้วนมีสัดส่วนยอดหนี้ดังกล่าว สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
โดยเฉพาะอินโดนีเซียและเกาหลีใต้ ได้ก่อหนี้ต่างประเทศระยะสั้นมากกว่าทุนสำรองเงินตราต่างประเทศถึง
2 เท่า ส่วนไทยมีสัดส่วนดังกล่าวราว 1.2 เท่าในช่วงก่อนเกิดวิกฤตค่าเงินบาท
ประเทศเหล่านี้ล้วนขาดประสิทธิ ภาพในการบริหารเงินกู้ โดยเฉพาะการนำเงินกู้ยืมระยะสั้นจากต่างประเทศไปใช้ในโครงการลงทุนระยะยาว
ซึ่งระยะเวลาคืนทุนนานมาก เมื่อเกิดทุนสำรองเงินตราต่างประเทศร่อยหรอลงอย่างรวดเร็ว
ทำให้เกิดปัญหาไม่สามารถชำระ คืนเงินกู้ระยะสั้นได้ ขณะที่ประเทศเจ้าหนี้พยายามเร่งเรียกหนี้คืน
เพราะไม่มั่นใจในสภาพเศรษฐกิจของประเทศลูกหนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่
และลุกลามกลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจเอเชียมาจนทุกวันนี้
ส่วนประเทศอาเซียนอื่นๆ อาทิ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ มีสัดส่วน debt-reserve
ratio อยู่ในระดับที่ต่ำ เพราะจำนวนหนี้สินต่างประเทศระยะสั้นมีไม่มากเมื่อเทียบกับทุนสำรองของประเทศ
แม้ว่าเศรษฐกิจจะได้รับความเสียหายตามประเทศเพื่อนบ้าน แต่ทั้งสองแทบไม่มีปัญหาในการชำระหนี้คืน
ไทย ขณะนี้เริ่มหายใจคล่องเมื่อสัดส่วน debt-reserve ratio ปรับลดลงเหลือ
0.64 เท่าเทียบกับสัดส่วน 1.2 เท่าในปี 2540 เนื่องจากหนี้สินต่างประเทศระยะสั้นของไทยค่อยๆ
ชะลอตัวลงเหลือประมาณ 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับทุนสำรองเงินตราต่างประเทศจำนวนประมาณ
30,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ กลางเดือนสิงหาคม 2542
ประการต่อมา ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ล่าช้า โดยเฉพาะการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ
(IT) ให้เจริญรุดหน้าในยุคเศรษฐกิจไร้พรมแดน ไทยยังคงเป็นรองเพื่อนบ้านหลายประเทศในการกระจายและเชื่อมโยงระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตอย่างทั่วถึง
ทั้งนี้ พิจารณาจากจำนวนผู้ให้บริการเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ตกับต่างประเทศ
ปรากฏว่าจำนวนผู้ให้บริการดังกล่าวเฉลี่ยต่อประชากร 1,000 คน ของคนไทยยังน้อยกว่าจีน
มาเลเซีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน ญี่ปุ่น ฮ่องกง และสิงคโปร์ ทั้งนี้ ไทยมีฐานะดีกว่าประเทศ
เอเชียด้วยกันเพียง 3 ประเทศ ได้แก่ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และอินเดีย
นอกจากนี้ การกระจายระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตจำเป็นต้องอาศัยโครงข่ายการให้บริการโทรศัพท์ที่กระจาย
อย่างทั่วถึงในแต่ละประเทศ ประกอบกับความนิยมในการใช้เครื่องคอมพิว- เตอร์ในหมู่ประชาชนด้วย
ปัจจุบัน สัดส่วนจำนวนประชากรเฉลี่ยของไทยต่อคู่สายโทรศัพท์หนาแน่นกว่าหลายประเทศในเอเชีย
โดยมีสัดส่วนจำนวนประชากรเฉลี่ย 12.6 คนต่อ 1 คู่สายโทรศัพท์ เทียบกับสัดส่วนเฉลี่ยของมาเลเซีย
5.1 คนต่อ 1 คู่สาย เกาหลีใต้ 2.1 คนต่อคู่สาย สิงคโปร์ 2 คนต่อคู่สาย ไต้หวัน
1.9 คนต่อคู่สาย ฮ่องกงและญี่ปุ่น 1.5 คนต่อคู่สาย ทำให้การใช้บริการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารผ่านระบบอินเตอร์เน็ตในไทยยังไม่แพร่หลายเท่าที่ควร
ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาด้านไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) และการค้าอิเล็กทรอนิกส์
(e-commerce) ไปโดยปริยาย
แม้กระทั่ง ความประพฤติมิชอบในแวดวงราชการ เป็นจุดบอดที่ส่งผลกระเทือนต่อการแข่งขัน
โดยเฉพาะปัญหาคอร์รัปชั่นและการฉ้อฉลที่ระบาด ในวงราชการและองค์กรของรัฐ
นับเป็นภัยเงียบที่กัดเซาะความสามารถในการแข่งขันอย่างมาก กระบวนการทำงานของรัฐที่ไม่โปร่งใส
ทำให้ต้นทุนการดำเนินธุรกิจสูงขึ้นที่ต้องบวกค่าธรรม เนียมพิเศษดังกล่าวเพิ่มเติมรวมไปกับวงเงินลงทุนปกติ
ประเทศเอเชียที่ติดอยู่ในข่ายปัญหาคอร์รัปชั่นรุนแรง ได้แก่อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์
จีน และเวียดนาม
สำหรับประเทศไทย แม้จะไม่ติดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีการคอร์รัปชั่น สูงสุด
20 อันดับแรก จากการจัดอันดับ ของ World Economic Forum แต่กรณีที่มีการร้องเรียนว่าเกิดการทุจริตและฉ้อฉลในวงราชการได้ถูกเปิดโปงออกมาเป็นระยะๆ
น่าจะกระตุ้นให้ทางการรีบจัดการสืบสวนหาข้อเท็จจริง และลงโทษผู้กระทำผิด
เพราะที่ผ่านๆ มาแทบทุกกรณีกลายเป็นคลื่นกระทบฝั่งหายเงียบไปในที่สุด
นอกจากนี้ การเลี่ยงภาษียังเป็น การฉ้อโกงประเทศชาติโดยตรง นับเป็นปัจจัยหน่วงเหนี่ยวการพัฒนาประเทศ
เนื่องจากจำนวนรายได้ของประเทศที่ควรได้รับเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ
หดหายไป กลุ่มประเทศที่มีอัตราการเลี่ยงภาษีค่อนข้างสูงในเอเชีย ได้แก่ ฟิลิปปินส์
อินเดีย เวียดนาม จีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน และไทย
ส่วนประเทศที่มีอัตราการหลบเลี่ยงภาษีในระดับต่ำ ได้แก่ มาเลเซีย ฮ่องกง
และสิงคโปร์ เนื่องจากประเทศเหล่านี้วางระบบการจัดเก็บภาษีอย่างรัดกุม และมีกฎข้อบังคับเกี่ยวกับการชำระภาษีที่เข้มงวดอย่างมาก
แนวทางการพัฒนาประเทศสู่สหัสวรรษที่ 3 ของประเทศในเอเชีย ที่ครอบคลุมการพัฒนาอย่างเป็นระบบและครบวงจร
หากสามารถดำเนินการได้อย่างจริงจัง เมื่อผนวกกับการเอาใจใส่เร่งปรับกลยุทธ์ในการแข่งขันทางการค้า
เสริมสมรรถนะในการขยายตลาดส่งออกหลัก มุ่งเจาะตลาดการค้าใหม่ๆ ยกระดับมาตรฐานและประสิทธิภาพการผลิต
คิดค้นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแก่สินค้า โดยเน้น คุณภาพ เป็นตัวชูโรงทั้งในการรักษาตลาดดั้งเดิมและช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดเพิ่มเติม
น่าจะช่วยฟื้นฟูขีดความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลกได้