LOI 8 ต่อลมหายใจ


นิตยสารผู้จัดการ( ตุลาคม 2542)



กลับสู่หน้าหลัก

21 กันยายน 2542 รัฐบาลไทยร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฉบับที่ 8 (LOI 8) เสนอต่อกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เป็นส่วนหนึ่งของการขอรับความช่วยเหลือภายในกรอบวงเงิน 17.2 พันล้านดอลลาร์ ที่ไทยเบิกกู้แล้ว 13.47 พันล้านดอลลาร์

ใน LOI 8 แสดงให้เห็นว่า รัฐ-บาลเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ หลังจากดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวกว่า 10% ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมาและการส่งออกสดใสขึ้น ดังนั้น จึงประมาณการอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้เพิ่มขึ้น 3-4% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 1% ขณะที่เงินเฟ้อถูกปรับลดลงเป็น 0.5% จากเดิม 2.5%

นโยบายการคลัง รัฐบาลคาดว่าปีงบประมาณ 2542 ภาครัฐจะขาดดุลประมาณ 5.5% ของ GDP ส่วนปีงบประมาณ 2543 กำหนดเป้าหมายให้ขาดดุล 5% ของ GDP อีกทั้ง ยังระบุในกรณีรายได้รัฐบาลเพิ่มขึ้นเนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัว รายได้ส่วนที่เพิ่มขึ้นจะถูกเก็บไว้เพื่อลดการขาดดุล

ด้านกรอบนโยบายการเงินและอัตราแลกเปลี่ยน ไม่ต่างไปจากฉบับก่อนๆ ที่ยังคงเน้นรักษาอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับที่ต่ำต่อไป ส่วนนโยบายปรับโครงสร้างการเงิน ยังกำหนดแผนการเดิมโดยเน้นแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ของสถาบันการเงิน โดยสนับสนุนการจัดตั้งองค์กร บริหารสินทรัพย์ (AMC)

แม้ตัวเลขประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2542 มีทิศทางที่ดีขึ้น แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีข้อสังเกตเกี่ยวกับ LOI 8 โดยเฉพาะการไม่ได้ขอเบิกเงินกู้เพิ่มจาก IMF บ่งบอกถึงฐานะทุนสำรองของประเทศที่มั่นคงขึ้น และแสดงถึงความมั่นใจต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจในอนาคต อีกทั้ง ดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุล ขณะที่ยอดหนี้ต่างประเทศระยะสั้นปรับตัวลดลง ดังนั้น ความจำเป็นที่จะกู้เงินเพิ่มจึงลดลงไปด้วย ส่วนการดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลนั้น เป็นนโยบายเชิงรับอันเกิดจากการปรับลดของรายได้มากกว่ามาจากการเพิ่มการใช้จ่ายด้านการลงทุนของภาครัฐ ทั้งนี้รัฐยังคงให้ภาระการฟื้นตัวของเศรษฐกิจตกเป็นหน้าที่ของภาคเอกชนค่อนข้างมาก

ส่วนมาตรการส่งเสริมการแก้ปัญหาหนี้สถาบันการเงินที่ชัดเจนขึ้น แต่การเพิ่มทุนของสถาบันการเงินยังคงเป็นภาระหนักเพื่อที่จะสามารถทำสำรองครบ 100% ดังนั้น อาจจะต้องเพิ่มทุนกว่า 3.5 แสนล้านบาท นอกเหนือไปจากแผนเพิ่มทุนภายในปีนี้ แต่การเพิ่มทุนยังเป็นภาระหนักอยู่กับสถาบันการเงินที่รัฐเข้าไปแทรกแซง ถ้าไม่สำเร็จอาจจะกลายเป็นตัวแปรฉุดรั้งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้าได้

อย่างไรก็ดี การที่รัฐบาลเลือกรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำจะเอื้อต่อการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพราะหากอัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นจะส่งผลให้ปัญหา NPLs และความไม่เพียงพอของเงินกองทุนรุนแรงขึ้น อีกทั้ง ยังมีปัจจัยด้านการออกพันธบัตรเพิ่มเติมเพื่อชดเชยให้แก่กองทุนฟื้นฟูฯ การชำระหนี้คืนของ 58 ไฟแนนซ์ การออกพันธบัตรเพื่อชดเชยงบประมาณขาดดุล รวมทั้งนโยบายที่มีต่อค่าเงินบาทของทางการ อาจจะเป็นเหตุให้เกิดการหยุดชะงักของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.