นับเป็นครั้งแรกที่ค่ายโฆษณายักษ์ระดับภูมิภาคได้มีการจับมือทำธุรกิจ ร่วมกัน
ถึง 3 ค่ายด้วยกัน ประกอบด้วย บริษัท ฟาร์อีสท์ แอ็ดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด (มหาชน)
บริษัท สปา แอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด และบริษัท ไทยฮาคูโฮโด จำกัด โดยทั้ง 3
บริษัทได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จำกัด เพื่อดำเนินการวางแผนสื่อโฆษณาและซื้อขายสื่อโฆษณาโดยเฉพาะ
อันส่งผลให้การวางแผนและการซื้อโฆษณาที่ทำให้กับลูกค้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น
มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ เริ่มต้นด้วยทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท โดยผู้ร่วมทุนทั้ง
3 บริษัทถือหุ้นในสัดส่วนที่เท่ากันคือ 33.33% มีวศิน เตยะธิติ (กรรมการผู้จัดการบริษัท
ฟาร์อีสท์ฯ) เป็นประธานบริษัท และกรรมการบริหาร 2 ท่านคือ กิตติ ชัมพุนท์พงศ์
(ประธาน บริษัท สปาฯ) และฮิเดโอะ ฮามานากะ (ประธานบริหาร บริษัท ไทยฮาคูโฮโด)
สำหรับที่มาของการร่วมทุนกันในครั้งนี้ วศินทำหน้าที่เป็นตัวแทนเล่าว่า
เกิดจากการที่ตลาดสื่อโฆษณามีการเปลี่ยนแปลงมากในช่วง 3 ปีที่เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ
จากเดิมที่ตลาดสื่อโฆษณาเป็นตลาดของผู้ขาย ได้เปลี่ยนมาเป็นตลาดของผู้ซื้อแทน
และมีความยืดหยุ่นในการต่อรองมากกว่าในอดีต นอกจากนั้นยังมีการรวมตัวกันของบริษัทกับบริษัทโฆษณาในประเทศไทย
เพื่อจัดตั้งบริษัทซื้อขายสื่อโฆษณาโดยเฉพาะที่เรียกว่า Media Specialist
รวมทั้งเอเยนซีโฆษณาบางแห่งยังมีการแยกฝ่ายมีเดียออกเป็นหน่วยงานอิสระ เพื่อทำหน้าที่ซื้อขายสื่อโฆษณาให้กับลูกค้ารายอื่นๆ
เพิ่มเติมจากลูกค้าประจำ
"ดังนั้น เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการต่อรองซื้อขายสื่อให้แก่ลูกค้า ให้มีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากขึ้น
เราจึง ได้รวมตัวกันเพื่อก่อตั้งมีเดีย อินเทล-ลิเจนซ์ขึ้น"
อย่างไรก็ดี ในเบื้องต้นของการเปิดบริษัทนี้ จะเริ่มจากการซื้อขายสื่อเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ยังไม่รวมไปถึงการวางแผน ซึ่งวศินคาดว่า บริษัทจะสามารถดำเนินการได้ครบทั้ง
2 ส่วนภายใน 6 เดือนข้างหน้า สำหรับเป้าหมายในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 42
นี้ วศินได้ประมาณการยอดบิลลิ่งของมีเดีย อินเทลลิเจนซ์ไว้ที่ประมาณ 500
ล้านบาท และสำหรับในปี 43 ทั้งปี ยอดบิลลิ่งน่าจะอยู่ที่ 1,800 ล้านบาท โดยมีพอร์ตลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ
50 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ขึ้นมาอยู่ อันดับ 3 รองจากมาย
แชร์ และลินตาส ตามลำดับ (ในแง่ของยอดบิลลิ่ง)
"เดิมเราทั้ง 3 บริษัทจะมียอดบิลลิ่งกระจัดกระจายอยู่ในระดับล่างๆ แต่ก็ยังอยู่ในทอปเท็น
แต่เมื่อเรารวมกันแล้ว ทำให้เราก้าวมาอยู่ในอันดับ 3 ทันทีในปีหน้า แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายหลัก
ของเรา เป้าหมายหลักเราอยู่ที่ Service & Creativity ที่เราจะมีให้แก่ลูกค้าได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น"
กิตติกล่าวในฐานะกรรมการบริหารบริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ "ผมมีความเชื่อมั่นใน
Philosophy ของการทำงานของทั้ง 3 ฝ่ายที่อยู่ภายใต้พื้นฐานเดียวกันคือ ไม่เห็นแก่ตัว
ไม่เห็นแก่อำนาจ และไม่เห็นแก่เงินมากเกินไป จึงทำให้พวกเราถือหุ้นในสัดส่วนที่เท่ากัน"
ส่วนในแง่ของการปฏิบัติงานจริง ลูกค้าอาจจะเกิดความเคลือบแคลงได้ว่า ทั้ง
3 บริษัทจะรักษา "ความลับ" ของพวกเขาได้มากน้อยแค่ไหน นี่เป็นประเด็นที่ผู้บริหารจะต้องชี้แจงแก่ลูกค้าที่แต่ละบริษัทรับผิดชอบอยู่
ให้เข้าใจถึงหลักการในการทำงานของมีเดีย อินเทลลิเจนซ์ว่า "ทั้งสามบริษัทร่วมทุนกันเฉพาะในการวางแผนและการซื้อขาย
สื่อเท่านั้น (Buyer & Planner) แต่ในส่วนอื่นของบริษัทยังมีการแข่งขันกันอยู่
และ "ความลับ" ของลูกค้าคือสิ่งที่พวกเราทั้ง 3 ต้องต่างคนต่างเก็บให้ดีที่สุด"
วศินกล่าวชี้แจง
เขากล่าวอีกว่า เขาเคยมีบทเรียน จากการจับมือพันธมิตรที่ผิดพลาดมาแล้ว
ซึ่งทำให้เจ็บปวดมาก ดังนั้นในครั้งนี้จึงระมัดระวังเป็นพิเศษที่จะไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย