จากแนวคิดแห่งอาหารใหม่ สู่อุตสาหกรรมสาหร่าย


นิตยสารผู้จัดการ( ตุลาคม 2542)



กลับสู่หน้าหลัก

ชาวเยอรมัน เป็นชาติแรกที่พยายามจะค้นคว้าหาแหล่งอาหารชนิดใหม่ทดแทนการขาดแคลนอาหาร โดยเริ่มสนใจการเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1

ปัญหาการขาดแคลนอาหารของเยอรมนีในยุคนั้นรุนแรง ถึงขนาดว่าต้องเอาอาหารสัตว์มาเปลี่ยนเป็นอาหารคน และนักวิทยาศาสตร์เยอรมัน พุ่งเป้าวิจัยยีสต์ชนิดที่กินได้ และสาหร่ายสีเขียวคลอเรลลา

ในยุคนั้น การทดลองพบว่ายีสต์แบ่งตัวได้เร็วมีคุณค่าโปรตีนสูง แต่ต้องใช้สารอินทรีย์เช่น น้ำตาลเป็นอาหาร ขณะที่สาหร่ายคลอเรลลา แบ่งตัวช้ากว่า ทว่า ต้องการเพียง อากาศ น้ำ และแสงแดด เท่านั้น

ซึ่งในเชิงอุตสาหกรรมแล้ว การเพาะเลี้ยงสาหร่ายจะ เหนือกว่าการเพาะเลี้ยงยีสต์

หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 วงการวิทยาศาสตร์ของโลกเริ่มสนใจที่จะค้นคว้าแหล่งอาหารจากสาหร่าย คลอเรลลา โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นซึ่งใช้สาหร่ายทะเลเป็น อาหารมานานแล้ว

ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ภาวะการขาดแคลนอาหารเริ่มปะทุขึ้นอีกครั้งอย่างชัดเจน ทั้งฟากยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่นให้ความสนใจการเพาะเลี้ยงอาหารจากสาหร่ายขนาดเล็กเพิ่มขึ้น แต่มาเป็นรูปร่างแท้จริงในช่วงหลังสงคราม แล้ว

ช่วงนั้นยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์จากค่ายใดที่รู้จัก สาหร่าย Spiruling หรือสาหร่ายเกลียวทองเลย รู้จักกันแต่เพียงสาหร่ายคลอเรลลา ซึ่งเป็นสาหร่ายขนาดเล็กมากชนิดหนึ่งเท่านั้น

แม้ว่า ภาวะการขาดแคลนอาหารของโลกจะดีขึ้นมาแล้ว แต่วงการวิทยาศาสตร์ก็ยังพยายามจะค้นคว้าเรื่องดังกล่าวต่อไป โดยเฉพาะอเมริกา กับ รัสเซีย ซึ่งมีความคิดจะใช้สาหร่ายเป็นอาหารในอวกาศ และในระยะหลังนี่เองที่เริ่มมีแนวคิดใช้สาหร่ายในวงการสุขภาพ

พ.ศ.2500 เป็นช่วงเวลาที่โลกได้ค้นพบสาหร่ายตัว ใหม่ คือสาหร่ายเกลียวทอง ซึ่งดีกว่า คลอเรลลาทั้งในด้านคุณสมบัติ และการเพาะเลี้ยง

พวกเขาพบว่า ในทางธรรมชาติสาหร่ายเกลียวทองถูก ใช้เป็นอาหารในทวีปแอฟริกามานานแล้ว เพราะเป็นสาหร่ายที่อยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติ ความหนาแน่นของมันทำให้ชนเผ่าพื้นเมืองใช้ภาชนะตัก หรือนำมาทำให้แห้งเพื่อเป็นอาหาร เลี้ยงชีวิตของทวีปที่ขาดแคลนอาหารอย่างหนักแห่งนี้

เม็กซิโก ซึ่งเป็นแหล่งสาหร่ายเกลียวทองทางธรรมชาติ ประเทศหนึ่ง ถือเป็นประเทศแรกที่เพาะเลี้ยงสาหร่ายในเชิงอุตสาหกรรม ซึ่งหากมองว่าได้มาโดยบังเอิญก็ได้ เมื่อบริษัท ผลิตโซดาแห่งหนึ่งพบสาหร่ายในแหล่งน้ำวัตถุดิบ ต่อมามีการ วิจัยเรื่องนี้อย่างจริงจัง จนองค์การอาหารและยาของเม็กซิโก ให้การยอมรับในพ.ศ.2516

ในวงการวิทยาศาสตร์โลก นำเรื่องการค้นพบและการศึกษาเรื่องสาหร่ายชนิดนี้เข้าที่ประชุมระหว่างชาติ เรื่อง จุลชีววิทยาประยุกต์เมื่อพ.ศ.2510 ที่ประเทศเอธิโอเปีย และพบว่า นักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ที่พบสาหร่ายนี้เป็นคนแรก คือ ชาวเยอรมัน ชื่อ เดอเบน ในพ.ศ. 2370 แต่กลับมีคนให้ ความสนใจมันอย่างจริงในพ.ศ.2500 ล่วงมาแล้ว

ประเทศฝรั่งเศส นับเป็นชาติแรกๆ อีกชาติหนึ่งที่วิจัย เรื่องดังกล่าวอย่างจริงจังเพื่อนำมาทำเป็นอุตสาหกรรมอาหาร โดยเริ่มเมื่อพ.ศ.2506 โดยศ. คลีเมนต์ แห่งสถาบันวิจัยสัตว์ น้ำฝรั่งเศส

สำหรับญี่ปุ่น ได้เริ่มนำสาหร่ายจากเอธิโอเปียมาวิจัย ในพ.ศ.2511 หลังจากนั้นได้นำผลการวิจัยให้บริษัท เกรท-เธอร์ เจแปน เคมิคัล อิงค์ อินดัสตรี ในอีก 2 ปีต่อมา และพบ ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศในเอเชียที่มีความเหมาะสมต่อการ เจริญเติบโตของสาหร่ายเกลียวทอง

เกรทเธอร์ เจแปนฯ ตั้งบริษัทลูกในประเทศไทย ชื่อว่า บริษัทสยามแอลจี ในพ.ศ.2519 ที่จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อเพาะเลี้ยงสาหร่ายเกลียวทอง ส่งกลับไปญี่ปุ่น ในชื่อว่า อาหารสุขภาพลีนากรีน และ ไฮลีนา มีกำลังการผลิตปีละ 100 ตัน

จะเห็นว่า โนว์ฮาวในการเพาะเลี้ยงสาหร่ายเกลียวทอง ในรูปอุตสาหกรรมนั้นเพิ่งจะมีการพัฒนาขึ้นมาในไม่กี่สิบปีหลังมานี้

สำหรับประเทศไทยเริ่มจะรู้จักสาหร่ายชนิดนี้ และเริ่มศึกษาวิจัยในช่วงพ.ศ.2530 จนสามารถมีฟาร์มสาหร่าย ของ ไทยเองในช่วง 10 ปีหลังมานี้เอง



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.