สามารถคอร์ปอเรชั่น เป็นบริษัท สื่อสารโทรคมนาคมอีกรายที่ประสบปัญหากับวิกฤติเศรษฐกิจ
ค่าเงินบาทลอยตัว อันเป็นผลมาจากโครงสร้างธุรกิจสื่อสารของเมืองไทย ที่ไม่มีเทคโนโลยีของตัวเองต้องซื้อจากต่างประเทศ
มาใช้งาน
วันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา ก็เป็นคราวของสามารถกรุ๊ปได้ฤกษ์จรดปากกาเซ็นสัญญาประนอมหนี้กับเจ้าหนี้ทั้งหมด
19 ราย ที่มี Credit Lyonnais เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ ที่เป็นเจ้าของหนี้ 40%
ของมูลหนี้ทั้งหมด 7,700 ล้านบาท
ที่มาของคะแนนเสียง 84% ที่เจ้าหนี้ยอมให้การประนอมหนี้ผ่านไปได้ ก็ต้องอาศัยกลยุทธ์เข้าช่วย
เพราะต้องหยั่งเชิงเจ้าหนี้ทั้งหมดด้วย โดยเฉพาะรายใหญ่อย่าง Credit Lyoannais
เพราะ หากรายนี้อนุมัติให้แผนประนอมหนี้ผ่าน แล้ว ที่เหลือก็ง่ายขึ้น
"เวลาเราจะโหวตเสียง เราต้องมั่นใจก่อนว่าสถาบันการเงินไหนจะยอมโหวตให้เรา
ต้องให้โหวตก่อน ส่วนที่ไม่แน่ใจ หรือไม่โหวตให้ต้องไปไว้ทีหลัง เพราะตามวิสัยของคน
ถ้าเห็นคนแรกไม่อนุมัติ คนหลังก็เริ่มไม่แน่ใจแล้ว โดยเฉพาะเจ้าหนี้ญี่ปุ่น
จะไม่ยกมือเลย แต่ถ้าเสียงส่วนใหญ่ให้ผ่าน เขาก็ยอม" ทอม เครือโสภณ
ผู้บริหารที่มีบทบาทสำคัญมากต่อการประนอมหนี้ในครั้งนี้ แต่ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาเล่า
เงื่อนไขของการประนอมหนี้ของสามารถกรุ๊ป ก็คือการที่เจ้าหนี้ยอมยืดเวลาชำระหนี้ออกไปอีก
7 ปี มีระยะเวลาปลอดหนี้ถึง 30 มีนาคม 2001 จาก นั้นจึงเริ่มทยอยใช้หนี้
และจะต้องจ่ายไม่ต่ำกว่า 3% ของหนี้ทั้งหมด โดยจะพิจารณาจากสภาพกระแสเงินสดของสามารถกรุ๊ปเป็นสำคัญ
คือจะต้องเก็บไว้เป็นเงินทุนหมุนเวียน 20% และไว้ชำระหนี้ 80%
ทอมบอกว่าการที่เจ้าหนี้ยอมประนอมหนี้ในครั้งนี้ เป็นเพราะความเชื่อมั่นในแผนธุรกิจของสามารถกรุ๊ป
เพราะการประนอมหนี้ในลักษณะนี้ เท่ากับว่าเป็นการที่แบงก์ยอมลงเงินเพื่อซื้ออนาคตกับสามารถอีกครั้ง
และเป็นสาเหตุที่สามารถไม่เลือกวิธีการลดหนี้ (haircut) เพราะสามารถเองก็ยังต้องการเงินทุนจากสถาบันการเงินเหล่านี้มาใช้ลงทุนในระยะยาว
"สิ่งที่แบงก์ต้องการจากเราคือ ความสามารถในการทำกำไร ซึ่งก็มาจาก แผนธุรกิจของเรา
ที่จะมาจากธุรกิจที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็นสามารถเทลคอม โครงการโทรศัพท์สาธารณะทางไกลชนบท
เพจเจอร์"
แม้การประนอมหนี้ในครั้งนี้จะทำให้สามารถกรุ๊ปปลดภาระอันหนักหน่วงไปได้เปลาะหนึ่งเท่านั้น
แต่ปัญหาของสามารถกรุ๊ป คือ การที่ต้องปรับตัวให้ทันกับการแข่งขัน โดยเฉพาะในเรื่องของธุรกิจโทรศัพท์มือถือ
ดิจิตอลโฟน ที่แม้จะถูกแยกออกจากการลงทุนของสามารถคอร์ปอเรชั่น คือไม่รวมอยู่ในหนี้เงินกู้
7,700 ล้านบาทนี้
"เราแยกดิจิตอลโฟนออกมาจากสามารถคอร์ปอเรชั่นตั้งแต่แรกแล้ว เพราะต้องใช้เงินลงทุนเยอะ
เราไม่อยาก ให้เป็นภาระกับบริษัทแม่ และอนาคตลูกคนนี้ก็อาจจะใหญ่กว่าแม่ก็ได้"
แต่ปัญหาของดิจิตอลโฟนนั้น ไม่ใช่เรื่องเงินกู้ เพราะเงินที่ใช้ในการขยายส่วนใหญ่มาจากซัปพลายเออร์
แต่ปัญหาคือ คุณภาพของการให้บริการ ที่ยังเป็นปัญหาตลอด เพราะที่ผ่านมาดิจิตอลโฟนก็ใช้วิธีการโรมมิ่งใช้เครือ
ข่ายของแทค ยังไม่มีการลงทุนขยายเครือข่ายของตัวเองเท่าไหร่
การได้นอร์ทเทิร์นเทเลคอม หรือ นอร์เทลมาเป็นซัปพลายเออร์รายใหม่ ที่ให้ซัปพลายเออร์เครดิตเกือบ
100% และการหันมาใช้อุปกรณ์ของนอร์เทลนี้เอง ทำให้สามารถเชื่อมั่นกับอนาคตที่ฝากไว้กับซัปพลายเออร์รายนี้
หลังจากที่สถานีฐานทั้ง 260 เปลี่ยนมาใช้ของนอร์เทลจะทำให้สถานการณ์ในด้านบริการของดิจิตอลโฟนกระเตื้องขึ้น
"ปลายปีนี้ถ้าสถานีเครือข่ายเสร็จ แต่เรายังไม่ดีขึ้น เราก็ตาย"
คำกล่าวสั้นๆ ของทอม
สามารถกรุ๊ปก็เหมือนกับอีกหลายบริษัท ที่ได้รับบทเรียนจากวิกฤติเศรษฐกิจในครั้งนี้
การขาดโครงสร้างการจัดการที่ดี และความพร้อมของบุคลากรไม่ได้เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้หลายบริษัทไปไม่รอดเท่านั้น
แต่ยังรวมไปถึงทิศทางใหม่หลังวิกฤติเศรษฐกิจ
"เมื่อเรามีรถแล้ว มีน้ำมันแล้ว สิ่งที่สำคัญก็คือ คนขับ ถ้าคนขับไม่ดีรถก็วิ่งไม่ได้"
ความหมายของทอมก็คือ ทิศทางของธุรกิจ ไม่ใช่เป้าหมายของสามารถกรุ๊ปเพราะหากพนักงานไม่มีคุณภาพ
หรือไม่มีโครงสร้างการจัดการที่ดีแล้ว ธุรกิจก็ไม่สามารถเดินไปได้แม้ ว่าทิศทางของธุรกิจจะดีแค่ไหนก็ตาม
การก้าวไปสู่การจัดการบุคลากรที่เป็นมาตรฐานสากล กลายเป็นเป้าหมายสำคัญของสามารถกรุ๊ปมากกว่าทิศทางธุรกิจ
ระบบการจัดการบุคลากรของคอมแพค และนอร์เทล เป็นส่วนหนึ่งของต้นแบบของสามารถกรุ๊ปที่จะใช้ในการวางรากฐานโครงสร้างการจัดการทาง
ด้านบุคลากร รวมถึงการดึงเอามืออาชีพ สกลวรรณ ค้าเจริญ อดีตผู้บริหารของบริษัทโค้กที่สามารถดึงมาเพื่อวางแผนปรับปรุงเรื่องการฝึกอบรมบุคลากรโดยเฉพาะ
"ต่อจากนี้ไปพนักงานของสามารถกรุ๊ป จะต้องผ่านการฝึกอบรม หลักสูตรมินิเอ็มบีเอให้ผู้บริหารเข้าเรียน
หรือพนักงานของสามารถทุกคนจะต้องผ่านการฝึกอบรมการส่งอีเมล" ศิริชัย
รัศมีจันทร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทสามารถคอร์ปอเรชั่น กล่าว
และนี่ก็คือ ส่วนหนึ่งในการปรับตัวของธุรกิจโทรคมนาคม (Telco) หลัง
วิกฤติเศรษฐกิจ และเตรียมรับมือกับอนาคตข้างหน้า ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะตอบโจทย์และเรียนรู้การแก้ปัญหาได้เร็วกว่ากัน