โรงพยาบาลจักษุ รัตนินหวังดันไทยเป็นศูนย์กลางจักษุวิทยาแห่งภูมิภาคเอเชีย ทุ่มงบกว่า
200 ล้านบาท ปรับปรุงอาคารใหม่ รองรับการรักษาดวงตาแบบครบวงจรทั้ง 13 แผนก ตั้งเป้ายอดการเติบโตของคนไข้ที่มาใช้บริการเพิ่ม
10%
นายแพทย์สรรพัฒน์ รัตนิน กรรมการผู้จัดการโรงพยาบาลจักษุ รัตนิน กล่าวว่า ขณะนี้โรงพยาบาลจักษุ
รัตนินถือเป็นสถานรักษาดวงตาที่มีความสมบูรณ์แบบของวงการจักษุของประเทศไทย เพราะได้มีการรวบรวมเอาสาขาจักษุวิทยาทุกแขนง,
เทคโนโลยีเครื่องมือสมัยใหม่และความชำนาญของทีมจักษุแพทย์ จึงเชื่อมั่นได้ว่าโรงพยาบาลจักษุฯจะช่วยพัฒนาขีดความสามารถของประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางของจักษุวิทยาแห่งภูมิภาคเอเชีย
"หัวใจสำคัญของโรงพยาบาลเรา คือ ทีมจักษุแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้เป็นพิเศษ
โดยตอนนี้เรามีแพทย์กว่า 30 ท่าน ซึ่งเราจะเน้นในเรื่องความรู้, ความเชี่ยวชาญและจริยธรรมของแพทย์เป็นสำคัญ
ซึ่งตอนนี้จักษุไทยของเรามีฝีมือดีไม่แพ้จักษุจากเมืองนอก รวมถึงราคาของโรงพยาบาลเอกชนไทยยังถูกกว่าโรงพยาบาลรัฐบาลของสิงคโปร์
ถึง 2 เท่าและถูกกว่าโรงพยาบาลอเมริกาถึง 3-4 เท่า"
นางศิริธร รัตนิน กรรมการผู้จัดการ โรงพยาบาลจักษุ รัตนิน กล่าวว่า โรงพยาบาลลงทุนกว่า
200 ล้านบาท ในการปรับปรุงรูปแบบอาคารใหม่ ซึ่งมีทั้งหมด 8 ชั้น มีแผนกรักษาดวงตาแบบครบวงจร
13 แผนก ซึ่งอาคารใหม่นี้สามารถรองรับผู้ป่วยได้มากกว่า 400 คนต่อวัน คาดว่าจะทำให้จำนวนคนไข้
เติบโตขึ้น 10%
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2546 ที่ผ่านมานั้น โรงพยาบาลกำลังอยู่ในช่วงก่อสร้างอาคารใหม่อยู่
จึงทำให้ยอดจำนวนคนไข้ไม่เพิ่มหรือลดลงแต่อย่างใด โดยมีจำนวนคงที่ แต่คนไข้ชาวต่างชาติกลับมีจำนวน 10% ของจำนวนคนไข้ทั้งหมด และจำนวนคนต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการผ่าตัดเพิ่มขึ้น
27%
ส่วนผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปี 2547 ยอดจำนวนคนไข้ที่มาใช้บริการเพิ่มขึ้น
10% ในขณะที่คนไข้ใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 25% จากปีก่อนที่มีประมาณ 100,000 ราย ส่วนคนไข้ผ่าตัดในปีนี้เพิ่มขึ้น
30% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
ด้านยอดรายได้ในปีนี้โรงพยาบาลตั้งเป้าเพิ่มขึ้น 40% จากปี2546 และคาดว่าภายใน
3 ปี จำนวนคนไข้ชาวต่างชาติจะเพิ่มเป็นเท่าตัว จากปัจจุบันที่มีประมาณ 10% ของคนไข้ทั้งหมด
ด้านนางอรนุช วิวัฒน์เจริญกิจ กรรมการผู้จัดการ ศูนย์เลสิกและรักษาสายตา รัตนินกิมเบล
กล่าวว่า ศูนย์ปฏิบัติการด้านเลสิกได้นำเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดมีแห่งแรกในประเทศไทย
คือ Platinum Zyoptix 100 ที่นำระบบสแกนลายม่านตาและระบบ ติดตามความเคลื่อนไหวตา
3 มิติมาใช้ ซึ่งนับเป็นเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยและแม่นยำ
"หลังจากที่นำเทคโนโลยีตัวใหม่นี้มาใช้ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ยอดลูกค้าที่มาใช้บริการเพิ่มขึ้น
25% ตั้งเป้าภายใน 2 ปี จะสามารถขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นอีก 90% โดยเรามุ่งเน้นทำตลาดในกลุ่มวัยทำงานอายุ 25-45 ปี แต่ปัจจุบันฐานลูกค้าเพิ่มเป็นอายุ 20-55 ปี และเรายังเน้นการให้บริการที่มีคุณภาพมากกว่าจำนวนปริมาณ โดยตอนนี้เราจะจำกัดจำนวนลูกค้าวันละไม่เกิน 10 คน เฉลี่ยเดือนละ
300 คน แต่ในอนาคตตั้งเป้าจะเพิ่มเป็น 20 คนต่อวัน"