เอสซี แอสเสทดึงมืออาชีพเสริมทีม รองรับการบุกตลาดอสังหาฯ "กัลยา โตวรรธกวณิชย์"
มือดีจากบสท.คุมการตลาดและการขาย "เกรียงศักดิ์ เหี้ยมโท้" คุมก่อสร้าง พร้อมดันวราภรณ์
ศิริบุญมา ดูโครงการร่วมทุน เดินหน้าขยายขนาดบริษัท ไต่สู่นักพัฒนาอสังหาฯระดับกลาง
นายสุรเธียร จักรธรานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น
จำกัด (มหาชน) หรือ เอสซี ธุรกิจที่ดินในเครือชินวัตร เปิดเผยว่า บริษัทยังไม่หยุดที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่ง
ให้กับองค์กร โดยได้ดึงมืออาชีพเข้ามาเสริมทีมภายใน โดยมีนางสาวกัลยา โตวรรธกวณิชย์
รับผิดชอบในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักการตลาดและการขาย และนายเกรียงศักดิ์ เหี้ยมโท้
รับผิดชอบ ผู้จัดการทางด้านการก่อสร้างทั้งหมด ขณะที่ นางวราภรณ์ ศิริบุญมา ไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักพัฒนาทรัพย์สิน ซึ่งเป็นส่วนที่ดูโครงการร่วมทุน
ทั้งนี้ นางสาวกัลยา โตวรรธกวณิชย์ เดิมเป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาสินทรัพย์ของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย(บสท.)
ส่วนนายเกรียงศักดิ์ เหี้ยมโท้ เดิมเป็นผู้จัดการโครงการ โครงการหมู่บ้าน นาราสิริ
ของบริษัท สยามซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)
"การปรับทีมผู้บริหารก็เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเอสซี และเป็นหนึ่งในกลยุทธ์รองรับการรุกตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มที่
เพราะตอนนี้เอสซีมีเวลาจัดทัพ และการที่สถานการณ์ตลาดอสังหาฯ ชะลอตัวลง ตรงนี้เราแฮปปี้
มีเวลาตั้งตัว ถ้าร้อนแรงเกินไปเอสซีจะวิ่งไม่ทัน และการรุกตลาดเอสซีจะคำนึงถึงการกระจายโครงการเพื่อลดความเสี่ยงกับบริษัท
ต้องเข้าใจว่าบางโครงการอาจจะดี บางโครงการอาจเจอปัญหาเรื่องทำเล ซึ่งตลาดอสังหาฯเป็นธุรกิจที่ไม่มีความสม่ำเสมอในเรื่องทำเล และหากเป็นทำเลที่ดีคนต้องการเยอะมากๆ แต่หากเราต้องการจะชนคู่แข่ง
เราต้องซื้อที่หน้าโครงการให้กว้างและใหญ่ขึ้น เพื่อสามารถเสนอโครงการได้แรงและเด่นกว่า"
นายสุรเธียรกล่าว
สำหรับแผนการสร้างธุรกิจของเอสซี นายสุรเธียรกล่าวว่า โครงสร้างรายได้จะมาจากการขายโครงการ
และรายได้จากค่าเช่าอาคารสำนักงาน ซึ่งในส่วนจากค่าเช่าบริษัทจะมีกระแสเงินเข้ามาปีละกว่า
600 ล้านบาท และหากแปลงรายได้ค่าเช่าเป็นหุ้นจะอยู่ที่ 0.75 บาทต่อหุ้น ตรงนี้บริษัทอยู่ได้
อย่างไรก็ตาม แผนจากนี้ไปจะเร่งยกระดับธุรกิจให้เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับกลาง
หรือการมียอดเปิดโครงการให้ได้ 5,000 ล้านบาทภายในปี 2547
ส่วนความคืบหน้าของยอดขายโครงการต่างๆ ของบริษัทฯ ที่ได้เปิดตัวไปแล้ว คือ โครงการบางกอกบูเลอวาร์ด
รามอินทรา-วงแหวน-นวมินทร์ มียอดขายแล้ว 63% ,โครงการชาลิสากรุงเทพกรีฑา มียอดขายแล้ว
100%, โครงการ Centric Place มียอดขายแล้ว 75%, โครงการชาลิสา ลาดพร้าว-โชคชัย
4 มียอดขายแล้ว 29% และอาคารสำนักงานชินวัตร ทาวเวอร์ 3 มีผู้เช่าแล้ว 86% และในครึ่งปีหลังจะเปิดโครงการใหม่
3 แห่ง มีมูลค่ารวมของทุกโครงการกว่า 4,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด
ปิ่นเกล้า เป็นแบบบ้านเดี่ยว ในรูป ihome concept ระดับราคาตั้งแต่ 10-26 ล้านบาทขึ้นไป
บนเนื้อที่ 65 ไร่ มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท, โครงการที่พักอาศัยประเภทบ้านเดี่ยว
ย่านพระราม 5 มูลค่าโครงการประมาณ 1,800 ล้าน บาท และโครงการทาวน์เฮาส์ในพื้นที่ย่านวัชรพล
มูลค่าโครงการประมาณ 400 ล้านบาท
ทั้งนี้ ตามแผนของบริษัทฯ ภายในปีนี้ ได้ตั้งเป้ารายได้ไว้ประมาณ 2,000 ล้านบาท
พร้อมเตรียมงบประมาณในการซื้อที่ดินใหม่ประมาณ 1,000 ล้านบาท และการพัฒนาโครงการสำหรับปี
2548 ได้ตั้งงบประมาณการลงทุนกว่า 6,500 ล้านบาท
กรรมการผู้อำนวยการฯเอสซีกล่าวย้ำว่า ธุรกิจอสังหาฯ จะมีความผูกพันกับตลาดหุ้น
หากตลาดหุ้นปรับตัวลดลง จะมีผลกระทบต่อตลาดคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยวจะได้รับผลกระทบน้อย
แต่หากราคาหุ้นปรับลงมากๆ แล้ว จะทำให้กำลังเงินที่จะใช้ในส่วนของการโอนบ้านลดลงไปด้วย
"หากมองไปแล้ว รัฐบาลชุดนี้ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาแล้ว 3-4 อย่าง ทั้งเรื่องการอัดเงินเข้าเศรษฐกิจระดับรากหญ้าแต่ไม่ถึงระดับกลางมากนัก
กระตุ้นตลาดบัตรเครดิต และที่ได้ผลคือฟื้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่ทำให้รอบการหมุนของธุรกิจเร็วมากๆ
หลายธุรกิจฟื้นตัวจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์" นายสุรเธียรกล่าวทิ้งท้าย