ซี.พี.เซเว่นอีเลฟเว่น (CP 7-11) มีแผนที่จะลงทุน 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2
พันล้านบาท ครอบคลุมถึงปีหน้า ขณะที่มาตรการปิดปั๊มน้ำมันช่วงกลางคืนของรัฐบาล
คาดกระทบยอดขายร้าน 7-11 ไม่เกิน 2% ของยอดขายรวม
แหล่งข่าวระดับสูง บริษัท ซี.พี. เซเว่นอีเลฟเว่น จำกัด (มหาชน) (CP 7-11) กล่าวว่าบริษัทมีแผนที่จะลงทุน
4 โครงการ คือ โครงการขยายสาขาปีนี้ เพิ่มอีก 320 แห่ง จากเดิมมีอยู่ 2,512 สาขา
คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 900 ล้าน บาท ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการ เสร็จแล้ว 50 สาขา จะเปิดให้ครบ
3,000 สาขาปี 2548 โครงการปรับปรุง สาขาเดิม 200 สาขา ใช้เงินลงทุน 150 ล้านบาท
โครงการสร้างศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ ที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก ใช้เงินลงทุน
835 ล้านบาท รองรับสาขาได้ประมาณ 2,000 แห่ง คาดว่าจะเสร็จประมาณกลางปี 2548 ส่วน
ศูนย์กระจายสินค้าเก่าอยู่ที่รัตนาธิเบศร์ รองรับสาขาได้ 2,000 แห่ง และโครงการปรับปรุงระบบการคัดเลือกสินค้า
ใช้เงินลงทุน 165 ล้านบาท โดยนำระบบจากญี่ปุ่นมาปรับใช้ ทั้งนี้คาดว่าใช้งบประมาณในการลงทุนทั้งสิ้น
มากกว่า 2,000 ล้านบาท
แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนมาตรการที่ภาครัฐขอความร่วมมือให้ปิดสถานีบริการน้ำมันในช่วงเวลา
22.00-05.00 น. นั้น เชื่อว่าไม่กระทบต่อยอดขายรวมของบริษัทมากนัก เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าว
ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ผู้บริโภคเข้ามาใช้บริการสูงสุด แม้มาตรการดังกล่าวอาจกระทบต่อยอดขายรวมบ้าง แต่คาดว่าไม่เกิน 2% แน่นอน
แหล่งข่าวยังเปิดเผยถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับการจัดตั้งโรงเรียนอาชีวะว่า โครงการดังกล่าวจะต้องเลื่อนเปิดตัวไปเป็นปี 2548 จากเดิม มีแผนตั้งเป้าเปิดโรงเรียนในปีนี้
ทั้งนี้ เนื่องจากขาดความพร้อมหลายประการ ทั้งด้านเอกสาร ที่ต้องยื่นให้กระทรวงศึกษาธิการเพื่ออนุมัติ และบุคลากรที่ต้องอบรมให้ความรู้เพิ่มเติม ประกอบกับตอนนี้เป็นช่วงเปิดเทอมพอดี
ซึ่งอาจจะไม่ทันการ ถือว่าบริษัทได้ดำเนินการล่าช้าไป
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาบริษัทแต่งตั้งให้บริษัทลูก คือบริษัท ศึกษาภิวัฒน์ จำกัดเพื่อดำเนินธุรกิจโรงเรียนระดับอาชีวศึกษาเอกชน
ซึ่งโรงเรียนดังกล่าว จะเปิดสอนระดับ ปวช. และ ปวส. 2 สาขา คือ สาขาธุรกิจ โดยเฉพาะด้านค้าปลีกและสาขาช่าง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับร้านเซเว่นอีเลฟเว่น
รุ่นแรก เปิดรับนักเรียนที่จบระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 ประมาณ 200 คน ซึ่งตอนนี้
เทกโอเวอร์โรงเรียน 2 แห่ง เพราะต้องการเปิดโดยเร็วที่สุด หากสร้างเอง ต้องก่อสร้างอย่างน้อย
1 ปี เบื้องต้นจะเปิด 1 แห่งก่อน ใช้พื้นที่ 4-5 ไร่ ส่วนชื่อโรงเรียน อยู่ระหว่างพิจารณา
ระยะยาวอาจขยายถึงระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งผู้จบการศึกษาและมีผลการศึกษาดี 7-11
จะรับเข้าทำงานทันที
ทั้งนี้ บริษัทถือหุ้น 100% ทุนจดทะเบียน 150 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายสาขา
และลดค่าใช้จ่ายในการอบรมพนักงาน ที่มีปีละกว่า 1 หมื่นคน เนื่องจากต้องเสียค่าใช้จ่ายมากกว่า
1,000 บาท/ คน/คอร์ส/ปี
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯและบริษัทย่อย ไตรมาสที่ 1/47 บริษัทมีกำไรสุทธิ
528.179 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่แล้ว ที่มีกำไรสุทธิ
387.677 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายของธุรกิจร้านสะดวกซื้อ และธุรกิจอื่นๆ เพิ่มขึ้น
ส่งผลให้รายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 26% โดยยอดขายเฉลี่ยต่อร้าน ของธุรกิจร้านสะดวกซื้อ
เพิ่มขึ้นจาก 50,598 บาทต่อร้าน เป็น 51,996 บาท เพิ่มขึ้น 3% โดยการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
ทำให้ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารลดลงจาก 17.2% ของรายได้รวมในไตรมาสที่ 1 ปี
2546 เหลือ 16.7% ของรายได้รวมในไตรมาสที่ 1 ปีนี้