ฟันธงเศรษฐกิจครึ่งปีหลังวิ่งฉิวชาตรีเผยตปท.เชื่อมั่นไทยเด่น


ผู้จัดการรายวัน(15 มิถุนายน 2547)



กลับสู่หน้าหลัก

"ชาตรี โสภณพนิช-ณรงค์ชัย อัครเศรณี" ประสานเสียงชูเศรษฐกิจไทยแกร่ง เจ้าสัวเผยต่างประเทศยังเชื่อมั่นศักยภาพการทำธุรกิจในไทย ชูเศรษฐกิจอยู่ในระดับที่ดีกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค คาดราคาน้ำมันเป็นปัจจัยเสี่ยงชั่วคราวเท่านั้น เชื่อมือรัฐบาลสามารถรับสถานการณ์ได้ ขณะที่ "ชาติศิริ" ย้ำไม่ปรับเป้าหมายธุรกิจแม้รัฐบาลปรับลดจีดีพี แนวโน้มดอกเบี้ยยังทรงตัวในครึ่งปีหลัง ด้าน "ศุภวุฒิ สายเชื้อ" คาดดอกเบี้ย จะขยับขึ้น 1% ภายในเวลา 18 เดือน แนะจับตา ธปท. อาจขึ้นดอกเบี้ย สกัดปัญหาเงินเฟ้อ

นายชาตรี โสภณพนิช ประธานกรรมการ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL เปิดเผยว่า นักลงทุนต่างประเทศยังให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากพื้นฐาน เศรษฐกิจของไทยโดยรวมยังอยู่ในระดับดีอยู่ ถึงแม้ว่าปัจจัยเสี่ยงของพื้นฐานเศรษฐกิจไทยในระยะนี้จะได้รับผลกระทบจากระดับราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นอยู่ก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี

"ตอนนี้ก็หวังว่าระดับราคาน้ำมันนั้นจะเป็นเพียงผลกระทบระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากประเทศไทยก็มีการปรับตัวรองรับกับสถานการณ์ต่างๆ ได้แต่ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง ทั้งนี้เป็นผลมาจากไทยมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจดี" ประธานกรรมการ ธนาคารกรุงเทพ กล่าว

นายชาตรี กล่าวว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นนั้นก่อให้เกิดความเสียหายหลายอย่าง แต่เชื่อว่า ระดับราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นในขณะนี้จะเป็นภาวะชั่วคราวมากกว่า เพราะทุกคนก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า รัฐบาลมีเงินชดเชยในเรื่องนี้ แต่รัฐบาลก็มีเม็ดเงินจำกัด ไม่สามารถที่จะเข้ามาพยุงราคาน้ำมันได้ตลอดไป ในขณะนี้เชื่อว่ารัฐบาลกำลังอยู่ระหว่างหามาตรการควบคุมการใช้น้ำมัน เพื่อไม่ให้มีการ นำเข้าน้ำมันในปริมาณที่มากเกินไป ซึ่งถือว่าเป็นกลไกชนิดหนึ่งในการควบคุมการใช้น้ำมัน

"ราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น ทำให้ต้นทุนของผู้ผลิตเพิ่ม สำหรับในส่วนของภาคธุรกิจธนาคาร ก็ไม่อยากเห็นราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น หากราคาน้ำมันยังขึ้นอย่างต่อเนื่องจะทำให้ลูกค้าของธนาคารมีปัญหา แต่ก็ถือว่าดีใจที่รัฐบาลชุดนี้ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นมาได้ในระดับหนึ่ง และอยากให้รักษาอย่างนี้ต่อไป" นายชาตรีกล่าว

นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า สำหรับการปรับเป้าจีดีพีลงของสภาพัฒน์ฯนั้น ในส่วนของธนาคารกรุงเทพ ยังไม่มีการปรับเป้าหมายการทำธุรกิจ โดยเชื่อมั่นว่าเป้าหมายที่วางไว้ จะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายทุกอย่างรวมถึงเป้าการปล่อยสินเชื่อด้วย ส่วนการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดนั้นยังไม่มีความกังวลแต่อย่างใด ส่วนอัตราดอกเบี้ยเชื่อว่าครึ่งปีหลังจะปรับขึ้นเฉพาะดอกเบี้ยระยะยาว ประเภทตราสารหนี้และพันธบัตร แต่ดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงภายในปีนี้แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยต่างประเทศจะปรับตัวเพิ่มขึ้นก็ตาม

ด้านนายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงเศรษฐกิจไทยในปีนี้ว่าจะมีการขยายตัวในเกณฑ์ดีขึ้น เนื่องจากไทยอยู่ในช่วงของเศรษฐกิจการลงทุนรอบใหม่ มีการลงทุนและการใช้จ่ายจากภาคเอกชนมาก ซึ่งต่างจากเศรษฐกิจในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา ที่เศรษฐกิจจะต้องมีการขยายตัวจากการผลักดันการลงทุนของภาครัฐบาล

ดังนั้น จึงเชื่อว่าในปีนี้เศรษฐกิจไทยน่าจะโตได้ในอัตรา 6% สำหรับการคาดการณ์ว่าจะเติบโตถึง 7% นั้นคาดว่าเป็นไปได้ยากเนื่องจากยังมีความเสี่ยงทั้งจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่ยังมีการขาดดุลการค้าและราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนความเสี่ยงที่คาดการณ์ไม่ได้

นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อในประเทศก็น่าจะอยู่ในระดับ 2-3% ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดในปีนี้น่าจะเกินดุลไม่เกิน 5,000 ล้านบาท สำหรับอัตราดอกเบี้ยของไทยในปีนี้คาดว่าจะยังไม่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากสภาพคล่องในระบบที่มีมาก ถึง 6.47 แสนล้านบาท ดังนั้นต้องรอให้ดุลบัญชีเดินสะพัดสมดุลก่อนจึงจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้

นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด กล่าวเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศว่าบล.ภัทร ยังยืนยันว่ามีแนวโน้มปรับขึ้นใน ช่วงครึ่งหลังของปีนี้แน่นอน โดยเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศจะปรับขึ้นประมาณ ร้อยละ 1 ภายในระยะเวลา 18 เดือนข้างหน้า

ทั้งนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นกับสภาพคล่องภายในประเทศ และอัตราเงินเฟ้อในประเทศ โดยคาดว่าเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 2.5% ภายใน 18 เดือนข้างหน้า นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงถึงทิศทางดอกเบี้ยโลกและอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ซึ่งขณะนี้มีแนวโน้มอยู่ในขาขึ้น เนื่องจากหากอัตราดอกเบี้ยในประเทศไม่ปรับขึ้น จะมีผลทำให้เงินทุนไหลออกนอกประเทศ เพื่อไปหาผลตอบแทนจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯที่สูงกว่า

คาดว่าการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ มีโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยประมาณ 0.25% แต่ไม่ถึง 0.5% แน่นอน และอาจจะเป็นการทยอยปรับตัวขึ้นอีกหลายครั้ง คาดว่าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯจะปรับขึ้นประมาณ 0.75-1% ภายในปีนี้ และคาดว่าจะเพิ่มจากร้อยละ 1 ในปัจจุบัน เป็น 3% ภายในปลายปี 2548 เพื่อให้เศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ ทั้งนี้ หากเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามคาดก็ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อตลาดมากนัก เนื่องจากนักลงทุนได้ซึมซับข่าวไปบ้างแล้ว

นอกจากนี้ นายศุภวุฒิยังแนะให้นักลงทุนติดตามการส่งสัญญาณเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)อย่างใกล้ชิด เนื่องจาก ธปท.เป็นผู้มีข้อมูลและทราบตัวเลขการไหลเข้าออกของเงินทุน ซึ่งจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งล่าสุด ธปท.ได้ระบุว่ามีความห่วงใยต่ออัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.