หวั่นแรงต้านเมเจอร์ฯ ขายตั๋ว80บาท นำร่อง นศ.


ผู้จัดการรายวัน(14 มิถุนายน 2547)



กลับสู่หน้าหลัก

เมเจอร์ฯ วางแผนสยบข้อกล่าวหาผูกขาดโรงหนัง เผยเตรียมออกตั๋วราคา 80 บาทก่อนสิ้นปี "วิชา" มั่นใจทำหลายราคาช่วยขยายฐานลูกค้าและจำนวนคนดู เตรียมเดินสายโรดโชว์ดึงทุนนอกเข้าลงทุนดันเมเจอร์โกอินเตอร์ โต้หนังเสี่ยเจียงคุณภาพแค่หนังแผ่น แม้งดส่งก็ไม่กระทบเมเจอร์ โบรกฯเชียร์ซื้อหุ้น MAJOR เหตุควบรวมทำให้ต้นทุนและหนี้บริษัทลดลง

นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ เปิดเผยว่า บริษัทกำลังปรับโครงสร้างราคาตั๋วชมภาพยนตร์เพื่อให้ยืดหยุ่นมากขึ้น เนื่องจากต้นทุนหลังการควบรวมกิจการกับอีจีวีลดลง ราคาตั๋วจึงควรลดลงได้เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือก โดยจะเริ่มที่ตั๋วราคานักศึกษา 80 บาทเป็นอันดับแรกคาดว่าจะเริ่มได้ประมาณปลายปี หลังจากนั้นจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปภายในปี 2548

"เชื่อว่าการออกตั๋วที่ราคาต่ำจะช่วยขยายฐานลูกค้า แม้รายได้จากการจำหน่ายตั๋วต่อใบลดลงแต่ปริมาณลูกค้าจะเพิ่มขึ้นในที่สุดรายได้ของบริษัทจะมากขึ้น และยืนยันว่าการควบรวมครั้งนี้ไม่ใช่การผูกขาด"

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เอเซียพลัส ที่ปรึกษาทางการเงินในการควบรวมกิจการดังกล่าวระบุว่า การควบรวมกิจการเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากเรื่องของขนาดที่ต้องใหญ่ขึ้นเพื่อการแข่งขันในปัจจุบัน โดยไม่จำกัดเฉพาะในประเทศเท่านั้น ยังมีธุรกิจข้ามชาติที่ปะทะกัน หากธุรกิจของไทยไม่ปรับตัวถือว่าลำบาก

"ผมไม่เห็นด้วย 100% ที่มองว่าดีลนี้ผูกขาด เพราะผมเชื่อว่าถ้ามีการขึ้นราคาแล้วไม่เป็นธรรม ผู้บริโภคร้องเรียนหรือส่งเสียงดังๆ ได้" นายก้องเกียรติกล่าว

ปัจจุบันตั๋วของเมเจอร์มีตั้งแต่ 90 บาท สำหรับต่างจังหวัด ส่วนในกรุงเทพฯและปริมณฑลประกอบ ด้วยราคา 100 บาท 120 บาท และ 300 บาท แล้วแต่ประเภทที่นั่งและทำเลของสาขา

นายวิชาเปิดเผยว่า บริษัทจะเปิดเผยข้อมูลและให้โอกาสผู้จัดการกองทุนและนักวิเคราะห์เข้าซักถามช่วงวันที่ 15-16 มิ.ย.หลังจากนั้นจะออกไปโรดโชว์ที่ประเทศสิงคโปร์ และฮ่องกง การเดินสายจะทำให้นักลงทุนต่างชาติรู้จักและสนใจลงทุน การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์จะง่ายขึ้น สนับสนุนให้แผนการขยายการลงทุนในต่างประเทศประสบความสำเร็จ

"ต่างชาติให้ความสำคัญกับการควบรวมกิจการให้ใหญ่ขึ้น ดังนั้นการระดมเงินหรือเพิ่มฐานเงินทุนจะง่ายขึ้นสำหรับเมเจอร์" นายวิชาย้ำ

สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นหลังควบกิจการ เมเจอร์จะถือหุ้น 70% ที่เหลือเป็นของอีจีวี ทั้งนี้จะใช้บุคลากรร่วมกัน โดยไม่มีการลดจำนวนผู้บริหารและพนักงาน เนื่องจากงานไม่ซ้ำซ้อนกัน ขณะที่สาขาที่มีอยู่ 250 แห่งเป็นสาขาที่สามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าได้เป็นอย่างดีจึงไม่มีการยุบ แต่จะขยายเป็น 350 สาขา

ส่วนกรณีที่นายสมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ เจ้าของสหมงคลฟิล์ม ผู้ผลิตภาพยนตร์รายใหญ่ของไทยและผู้ถือหุ้นเอสเอฟ ซีนีม่า ออกมาประกาศ งดส่งหนังให้โรงหนังเมเจอร์ฯ เป็นเวลา 6 เดือนนั้น นายวิชากล่าวว่า จะส่งผลกระทบต่อเมเจอร์เพียงเล็กน้อย เนื่องจากในแต่ละปี หนังที่มาจากสหมงคลฟิล์มมีประมาณปีละ 20 เรื่องเท่านั้น

"ส่วนใหญ่หนังที่เข้าฉายในโรงเมเจอร์มาจากต่างประเทศ เช่น ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ พาราเมาท์ พิคเจอร์ โคลัมเบีย พิคเจอร์และวอลท์ ดีสนีย์ ซึ่งล้วนแต่เป็นหนังคุณภาพที่ได้รับความนิยม ส่วนหนัง เสี่ยเจียงคุณภาพสู้ไม่ได้ส่วนใหญ่มักจะนำหนังแผ่นมาเสนอ"

นายวิชายังกล่าวถึงแผนการสร้างโรงภาพยนตร์ในที่ดินภายใต้การบริหารงานของสยามฟิวเจอร์ ดีเวลล๊อปเม้นท์ ย่านรัชดาฯว่า จะแล้วเสร็จภายในปี 2548

นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง กล่าวว่า บล.กิมเอ็งแนะนำให้นักลงทุนซื้อหุ้น MAJOR เนื่องจากหลังการควบรวมต้นทุนแล้วหนี้บริษัทจะลดลง ขณะเดียวกันธุรกิจ โรงภาพยนตร์มีโอกาสขยายตัวสูง มีผลตอบแทนดีกว่าธุรกิจหลักที่มีข้อจำกัดในการซื้อ

"สินค้าอุปโภคบริโภคอื่นอาจจำเป็นในชีวิตประจำวันแต่มีเพดานหรือจำนวนซื้อชัดเจน แต่หนังไม่ใช่ คนดูหนังถ้าชอบสามารถดูได้หลายรอบในแต่ ละวันหรือในทุกๆ สัปดาห์ จึงมีโอกาสสร้างรายได้แบบก้าวกระโดด"



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.