"เมเจอร์" ดัดหลังหนังแย่ไม่หวั่นเสี่ยเจียงถอนทัพ


ผู้จัดการรายวัน(4 มิถุนายน 2547)



กลับสู่หน้าหลัก

เมเจอร์ฯ ประกาศเดินหน้าธุรกิจใหม่ซื้อภาพยนตร์จำหน่ายเอง มั่นใจไม่กระทบพันธมิตรรายเดิม แนะเสี่ยเจียงคิดผิดหากเมินเมเจอร์ฯ ชี้ปัญหาตลาดหนังล้นโรง มีกว่า 300 เรื่องต่อปี แต่ทำเงินเพียง 30 เรื่อง ปรับนโยบายคัดหนังคุณภาพเข้าฉายเท่านั้น แก้เกมผู้สร้างหนังหัวใสใช้โรงเป็นทางผ่านสู่การขายหนังแผ่น เตรียมทุ่ม 800 ล้านบาท ผุดสาขาใหม่ 5 แห่ง พร้อมเพิ่มโรงแพลทินัม สกรีนจับกลุ่มคนดูหนังเฉพาะกลุ่ม

นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทเตรียมที่จะเปิดตัวธุรกิจใหม่เกี่ยวกับการซื้อภาพยนตร์เพื่อมาจัดจำหน่ายเอง ซึ่งจะเป็นอีกธุรกิจใหม่ที่เกิดขึ้นในปีนี้ของกลุ่มเมเจอร์ ถือเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโรงภาพยนตร์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของเมเจอร์ฯโดยตรง

สำหรับรายละเอียดของธุรกิจใหม่จะทำหน้าที่จัดหาซื้อภาพยนตร์ที่มีอยู่มาเข้าฉายในโรงภาพยนตร์เมเจอร์ฯ อาจจะทำในรูปแบบของการจับมือกับพันธมิตร ซึ่งปัจจุบันนี้ภาพยนตร์ในกลุ่มค่ายหนังชั้นนำในต่างประเทศหรือกลุ่มเมเจอร์ สตูดิโอที่มีภาพยนตร์เป็นจำนวนมากที่พร้อมฉายแต่ไม่สามารถเข้าฉายในเมืองไทย เนื่องจากผู้ประกอบการภาพยนตร์ในไทยมีค่อนข้างมาก

การที่กลุ่มเมเจอร์ฯ ในฐานะผู้บริหารโรงภาพยนตร์ให้กับตัวแทนจำหน่ายหนังจะหันมารุกทำธุรกิจใหม่ที่ถือว่าชนกับพันธมิตรตัวแทนจำหน่ายที่มีอยู่นั้น ทางเมเจอร์ฯ มองว่าจะไม่มีผลกระทบต่อพันธมิตรที่ทำตลาดอยู่ และจะไม่เกิดกรณีความไม่เป็นกลางในการจัดสรรจำนวนโรงให้กับภาพยนตร์แต่ละเรื่องรวม ถึงภาพยนตร์ที่กลุ่มเมเจอร์ฯ เป็นผู้ซื้อมาด้วย แต่ความต้องการของผู้บริโภคจะเป็นตัวกำหนดความมากน้อยของจำนวนโรงที่แต่ละภาพยนตร์ควรจะได้รับเอง

ส่วนกรณีที่นายสมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ หรือเสี่ยเจียงจากสหมงคลฟิล์มประกาศที่จะไม่นำภาพยนตร์ในเครือที่มีอยู่ในครอบครองเข้าฉายในโรงภาพยนตร์เครือเมเจอร์ฯ ทั้งหมดจากเหตุผลที่กลุ่มเมเจอร์ฯ จะลงทุนทำธุรกิจใหม่ดังที่กล่าวมา คาดว่าน่าจะเกิดจากการสื่อสารที่เข้าใจผิดกันมากกว่าเป็นเรื่องที่จริงจัง เพราะภาพยนตร์กับโรงภาพยนตร์เป็นสิ่งที่อยู่และเติบโตควบคู่กัน ถ้าสหมงคลฟิล์มไม่นำหนังเข้าฉายที่เมเจอร์ฯ ก็ถือว่าเสียโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับภาพยนตร์เรื่องนั้น

เนื่องจากจำนวนภาพยนตร์ที่พร้อมจะเข้าฉายมีมากกว่าจำนวนโรงทั้งหมดที่มีอยู่ในตลาด และหากสหมงคลฟิล์มจะไม่นำหนังเข้าฉายในเครือเมเจอร์ ก็ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะภาพยนตร์ที่เข้าฉายในเมเจอร์ฯ 70% เป็นหนังจากกลุ่มเมเจอร์ สตูดิโอ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทางกลุ่มเมเจอร์ฯ ยังไม่ได้ติดต่อเจรจาทำความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับทางสหมงคลฟิล์ม

ทั้งนี้ ปัญหาความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งอาจมาจากการที่เมเจอร์ฯ เคยประกาศที่จะควบคุมและคัดเลือกภาพยนตร์ที่มีคุณภาพเข้าฉายในโรงเท่านั้นตั้งแต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา พร้อมกับมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนมากขึ้นว่าหนังที่จะเข้าฉายควรจะต้องมีงบในการลงทุนสร้าง ทำการตลาดโฆษณา ประชาสัมพันธ์มากน้อยแค่ไหนจึงเข้าข่ายสามารถฉายได้ รวมถึงการเป็นหน้าหนังที่น่าสนใจ

ปัจจุบันจำนวนภาพยนตร์ที่จะขอเข้าฉายในโรงภาพยนตร์มีจำนวนมากกว่า 300 เรื่องต่อปี ซึ่งถือว่ามากเกินไป ขณะที่หนังที่ทำเงินได้กลับมีเพียงไม่ถึง 30 เรื่อง เพราะส่วนใหญ่ไม่มีคุณภาพ ทำให้ผู้บริโภคผิดหวังกับการมาดูภาพยนตร์ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อภาพรวมของธุรกิจโรงภาพยนตร์ ผู้สร้างหนังและตัวแทนจำหน่ายควรจะเน้นภาพยนตร์ที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ

รวมถึงการมีผู้สร้างหนังบางรายใช้โรงภาพยนตร์เป็นทางผ่านเพื่อประชาสัมพันธ์เพราะต้องขายเป็นหนังแผ่น เพราะต้องมีส่วนแบ่งในตลาดหนังแผ่นที่มีมูลค่าสูงถึง 1 หมื่นล้านบาท ขณะที่มูลค่าตลาดหนังโรงมีเพียง 3,500 -4,000 ล้านบาท

ทุ่ม 800 ล้านผุดสาขาใหม่

นายวิชากล่าวถึงแผนการขยายสาขาของเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ในปี 2547 ว่า บริษัทจะใช้งบลงทุนขยายสาขาใหม่ 800 ล้านบาท โดยจะมีสาขาที่พร้อมเปิดในปีนี้ 3 สาขา ประกอบด้วย สาขาฉะเชิงเทรา ปลายเดือนนี้, ทองหล่อ เดือนส.ค., และแจ้งวัฒนะ เดือนธ.ค. ส่วนสาขาที่พร้อมจะเปิดในปีหน้า อาทิ อ้อมใหญ่ ช่วงต้นปี บริวพาวิลเลี่ยนและสยามพารากอน ช่วงปลายปี ซึ่งสาขาที่บริวพาวิลเลี่ยนจะเป็นสาขา ที่มีขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับสยามพารากอน

นอกจากนี้ ยังเตรียมขยายโรงภาพยนตร์แบบแพลทตินั่ม สกรีน (Platinum Screen) ที่ใช้ฉายภาพยนตร์คุณภาพคล้ายกับโรงภาพยนตร์ลิโด้ กับ สกาลา เพิ่มอีก 5 สาขาอย่างน้อยสาขาละ 1 โรง ได้แก่ พระราม 3, เอกมัย, เซ็นทรัล เวิลด์ พลาซา, เซ็นทรัล แอร์พอร์ต พลาซา เชียงใหม่ และปรับปรุงสาขารัชโยธินที่โรงแพลทตินั่ม สกรีน 2 โรง โดยจะต้องใช้เม็ดเงินลงทุนที่มากกว่าโรงปกติที่ใช้ 12 ล้านบาทหรือประมาณ 20%

ผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1 มีมูลค่า 604 ล้านบาท เติบโต 12% แบ่งเป็นโรงภาพยนตร์ 66% โบว์ลิ่งและคาราโอเกะ 12% ธุรกิจบริการเช่าพื้นที่ 12% ธุรกิจโฆษณาในโรงภาพยนตร์ 7% และอื่นๆ 3% และมีสาขาทั้งหมด 15 สาขา



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.