ซีอีโอใหม่ "มิตซูบิชิ" ย้ำชัด วิกฤตบริษัทแม่ไม่กระทบการดำเนินธุรกิจในไทย ยันแผนลงทุนกว่า
2.1 หมื่นล้านบาทยังคงเหมือนเดิม ประกาศชัดจะผลิตรถยนต์โมเดลใหม่สู่ตลาดอย่างน้อยปีละหนึ่งรุ่น
โดยจะเริ่มก.ย.นี้ ส่งเอ็มพีวีใหม่ "สเปซ แวกอน" ราคากว่า 1 ล้านบาทบุกตลาด พร้อมเร่งยกระดับคุณภาพสินค้า
ลดต้นทุน เพิ่มยอดขาย และสร้างแบรนด์อิมเมจ มั่นใจภายใน 5 ปีสามารถเพิ่มแชร์ไม่ต่ำกว่า
10% จากปีนี้ตั้งเป้า 7.2%
นายฮิซาโยชิ คุมาอิ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่ บริหาร (CEO) บริษัท
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด (MMTH) เปิดเผยว่า การเข้ามารับตำแหน่งใหม่ในไทยครั้งนี้
ไม่ได้เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างบริหารของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น
ประเทศญี่ปุ่น (MMC) แต่อย่างใด ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามวาระปกติ
"แม้เอ็มเอ็มซีจะกำลังประสบปัญหา แต่ในส่วนของเอ็มเอ็มทีเอชจะไม่มีผลกระทบ และยืนยันว่าจะยังคงเติบโตอย่างมั่นคงมีผลการดำเนินการเป็นกำไร
เหมือนเช่นในปีที่ผ่านมา รวมถึงแผนการลงทุนในไทย กว่า 2.1 หมื่นล้านบาท จะไม่มีผลต่อแผนงานแต่อย่างใด
เพราะกลุ่มบริษัทในกลุ่มมิตซูบิชิ มอเตอร์ ได้ร่วมลงทุนไปถึงกว่า 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ
หรือประมาณ 1.6 แสนล้านบาท ทำให้สถานะการเงิน มั่นคงพอที่จะดำเนินงานตามแผนการลงทุนในไทยได้อย่างแน่นอน"
ในส่วนของการเข้ามาดำรงตำแหน่งในไทย สิ่งที่จะต้องทำเร่งด่วน คือ เพิ่มคุณภาพตัวสินค้า
ลดต้นทุนในการผลิต เพิ่มยอดขาย เพิ่มประสิทธิภาพการบริการหลังการขาย สร้างแบรนด์อิมเมจให้กลับมาเป็น
ที่ยอมรับเหมือนในอดีตที่ผ่านมา และที่สำคัญขอยืนยันว่าจะไม่มีการปลดพนักงานอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ นโยบายเกี่ยวกับการเพิ่มคุณภาพสินค้า นับตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปสำหรับตลาดในประเทศไทย
มิตซูบิชิจะแนะนำโมเดลใหม่ ซึ่งผลิตในประเทศอย่าง น้อยหนึ่งโมเดลต่อปี สำหรับระยะเวลา
5 ปีที่เหลือของทศวรรษนี้ โดยประมาณเดือนกันยายนนี้จะมีการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ในไทย
คือ มิตซูบิชิ สเปซ แวกอน ออกสู่ตลาดเป็นโมเดลแรก
"สเปซ แวกอน เป็นรถเอ็มพีวีกลุ่มเดียวกับ ฮอนด้า โอดิสซี ติดตั้งเครื่องยนต์ขนาด
2.4 ลิตร ราคาอยู่ในระดับเดียวกับกลุ่มรถยนต์ระดับหรูอย่าง โตโยต้า คัมรี่ ซึ่งเชื่อว่าลูกค้าในไทยจะให้การตอบรับอย่างดี
เพราะโมเดลใหม่ที่จะแนะนำนี้มีขนาดที่ใหญ่ และกว้างขวาง เต็มเปี่ยมด้วยสมรรถนะ
มาดสปอร์ต แต่หรูหรามีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน"
โดยรถยนต์รุ่นนี้จะประกอบการในไทย และจะใช้เป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออกในภูมิภาคนี้
ภายใต้เขตการค้าเสรีในอาเซียน หรือ AFTA ยืนยันให้เห็นว่าไทย และกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนในไทยจะดำรง
อยู่และก้าวไปสู่เป้าหมายการทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาคเอเชียอย่างแท้จริง
นายคุมาอิกล่าวอีกว่า มิตซูบิชิในไทยยังมีแผนในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริการหลังการขาย
รวมถึงยกระดับแบรนด์อิมเมจ โดยจะไม่มีการลดขนาด หรือการรวมเครือข่ายผู้จำหน่าย
แต่จะเพิ่มศักยภาพ และขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายให้สอดรับกับการเจริญเติบโตในอนาคต
ซึ่งปัจจุบันมิตซูบิชิมีผู้จำหน่ายทั้งสิ้น 92 แห่ง ครอบคลุมทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
รวมถึงศูนย์บริการทั่วประเทศ 142 แห่ง โดยมีบุคลากรด้านการบริการทั้งสิ้น 1,093
คน
"ขณะนี้เรากำลังดำเนินการติดตั้งสัญลักษณ์มาตรฐานสำหรับโชว์รูม และศูนย์บริการของผู้จำหน่าย
ตลอดจนมุ่งพัฒนาอย่างหนัก สำหรับการปรับปรุงดัชนีวัดความพึงพอใจของลูกค้า และดัชนีวัดความพึงพอใจในการขาย ด้วยการยกระดับประสิทธิภาพขององค์กร"
ในส่วนของแผนระยะยาว มิตซูบิชิจะขยายและปรับปรุงผู้จำหน่าย และเครือข่ายบริการทั่วประเทศ
รวมถึงการสร้างความมั่นใจแก่กลุ่มลูกค้ารถยนต์มิตซูบิชิในไทย นอกเหนือจากมีรถยนต์โมเดลใหม่สู่ตลาดอย่างน้อยปีละหนึ่งโมเดลแล้ว
จากนี้ต่อไปลูกค้ามิตซูบิชิจะได้รับการบริการ และการจัดหาอะไหล่ที่ดียิ่งขึ้น
นายคุมาอิกล่าวอีกว่า ผลจากการมุ่งมั่นตอบสนองความต้องการให้กับลูกค้า ทำให้มิตซูบิชิวางเป้าหมายไว้ว่า
ปีนี้จะสามารถทำยอดขายได้ประมาณ 41,000 คัน หรือมีส่วนแบ่งการตลาด 7.2 เปอร์เซ็นต์
โดยในปีที่ผ่านมามิตซูบิชิมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 6.2% หรือมียอดขาย 32,000
คัน
"โดยนับตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นไป เราคาดว่าส่วนแบ่งทางการตลาดรถยนต์ของมิตซูบิชิจะค่อยๆ
เติบโตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึง 10% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า จากการแนะนำโมเดลใหม่ๆ
สู่ตลาด และการเพิ่มประสิทธิภาพของผู้แทนจำหน่าย และบริการหลังการขาย รวมถึงการยกระดับแบรนด์อิมเมจให้เป็นที่ยอมรับเหมือนในอดีตที่ผ่านมา"
สำหรับการส่งออกมิตซูบิชิ มอเตอร์ ประเทศไทย ยังคงดำรงตำแหน่งผู้นำด้านการส่งออกรถยนต์สู่ตลาดสากลทั่วโลก โดยปีที่ผ่านมาส่งออกรถยนต์มิตซูบิชิจากไทยกว่า 82,000 คัน
ไปสู่ 146 ประเทศ เป็นผู้นำด้านการส่งออกรถยนต์จากประเทศไทยอย่าง แท้จริง ซึ่งจนถึงปัจจุบันมิตซูบิชิได้ส่งออกรถยนต์ประเภทเก๋งซีดาน
และปิกอัพกว่า 6 แสนคัน นำราย ได้เงินตราเข้าประเทศเกือบ 3 แสนล้านบาท