L.P.N.ลุยเปิดโครงการเชื่อมั่นยอดรับรู้เข้าเป้า


ผู้จัดการรายวัน(1 มิถุนายน 2547)



กลับสู่หน้าหลัก

ผู้บริหารแอล.พี.เอ็น. แย้งบทวิเคราะห์ยอดรับรู้รายได้ปี 47-48 ต่ำกว่า ประมาณการ แต่ยอมรับอาจเลื่อนไปบางไตรมาสบ้าง แต่ไม่พลาดเป้าแน่นอน พร้อมลุยเปิดโครงการอย่างต่อเนื่อง

นายทิฆัมพร เปล่งศรีสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล. พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวยืนยันว่า ยอดตัวเลขรับรู้รายได้ของบริษัทในปี 2547-2548 ยังไม่ต่ำกว่าที่บริษัทประเมินไว้โดยคาดว่าในปีนี้และปีหน้ายอดรับรู้รายได้จะไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท โดยในช่วงต้นปี บริษัทมียอดขายแล้วประมาณ 2,500-2,700 ล้านบาท ซึ่งยอดขาย จะทยอยไปรับรู้รายได้ในปีหน้า โดยในแต่ละปีบริษัทจะพยายามรักษากำไรไม่ให้ต่ำกว่า 20% ซึ่งที่ผ่านมาสามารถทำได้ระดับที่สูงกว่าเป้าที่วางไว้

"ในความรู้สึกของคนหรือนักวิเคราะห์แล้วจะคิดว่า ผลกระทบจากการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือที่รู้จักกันในชื่อ "EIA" จะสร้างผลกระทบกับบริษัทในเรื่องของความล่าช้าในการรับรู้รายได้ ซึ่งมองว่ายอดรับรู้รายได้ทั้งปีจะพลาดเป้า เพราะบริษัทได้รับรู้ปัญหาดังกล่าวมานาน และมีการปรับเปลี่ยนแผน โดยการทำแผนให้สอดคล้องกับการวิเคราะห์ของผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม การยื่นเรื่องที่เร็วขึ้น เพราะบริษัทอยู่ในวงการนี้มานาน และพอจะมีวิธีในการแก้ไขปัญหา นอกจากนี้ ด้วยความชัดเจนทางด้านผลิตภัณฑ์ และการมีกลุ่มลูกค้าที่วางตามแนวโครงการ เช่น คอนโดมิเนียมในเมืองจะเน้นรายได้ตั้งแต่ 30,000 บาท หรือนอกเมืองจะอยู่ที่ 15,000 บาท ซึ่งเรื่องราคาและทำเลเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการมากที่สุด" นายทิฆัมพร กล่าว

สำหรับแผนการเปิดโครงการในปี 2547 ในช่วงต้นปีเปิดโครงการไปแล้ว 3 โครงการคือ โครงการลุมพินี เพลส พระราม 3-ริเวอร์วิว มูลค่า 950 ล้านบาท, โครงการลุมพินี วิลล์ รัชดา-ลาดพร้าว และโครงการลุมพินี เซ็นเตอร์ สุขุมวิท 77 มูลค่ารวมประมาณ 1,500 ล้าน ขณะที่ในไตรมาส 3 จะเปิดโครงการบริเวณพื้นที่พหลโยธิน มูลค่า 800 ล้านบาท และขยายโครงการในเฟสที่ 2 ในส่วนสุขุมวิท อ่อนนุช 77 มูลค่าประมาณ 800-1,000 ล้านบาท

ขณะที่ด้านบทวิเคราะห์ จากบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวถึงยอดรับรู้รายได้ของบริษัทฯว่า ไตรมาส 2 ของปี 47 จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นก้าวกระโดดจากไตรมาสที่ 1 ที่ 140 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 193 ล้านบาท โดยเป็นการรับรู้รายได้ในโครงการพระราม 3-เจริญกรุง, พระแม่มารี-สาทร และการขายสัญญาเช่า

มูลค่าโครงการที่เปิดใหม่ในปีนี้ ยังเป็นไปตามแผนเดิม แต่การรับรู้รายได้ในปี 2547-2548 จะต่ำจากประมาณการเดิม โดยในปี 47 บริษัทยังคงแผนเดิมเปิดโครงการใหม่มูลค่า 5,300 ล้านบาทตามเดิม เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบดังกล่าวข้างต้น แต่การรับรู้รายได้ในปี 47-48 จะต่ำกว่า ประมาณเดิม เนื่องจากต้องใช้เวลาอนุมัติด้านสิ่งแวดล้อม ประมาณ 4-8 เดือน ยังผลให้การรับรู้รายได้จะเลื่อนออกไป

ปี 47 คาด Dividend yield 6% บริษัทยังคงนโยบายจ่ายเงินปันผล 50% ของกำไรสุทธิ ประมารการว่าปี 47 บริษัทจะจ่ายเงินปันผลเท่ากับ 0.15 บาท ณ ราคาปิด 2.50 บาท คิดเป็น Dividend yield 5.5% โดยบริษัทได้แนะนำคงถือ ณ ราคาปัจจุบัน 2.82 บาท ซื้อขายที่ PE-Fully Diluted ปี 47 เท่ากับ 9.2 เท่า, PBV 1.6 เท่า และ PCF 8.9เท่า และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล 5.5% ในปี 47 แนะนำให้ถือ โดยให้ราคาเป้าหมาย ปี 47 เท่ากับ 3.10 บาท (ให้ PE-Fully Diluted ปี 47 เท่ากับ 10 เท่า)



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.