ซีอาร์ซีดึงคนนอกเสริมทัพทั้งไทยและเทศ เดินหน้าเต็มพิกัด ตั้งทีมลุยธุรกิจต่างประเทศ
โฟกัส 4 ตลาดเอเชีย แปซิฟิก เผยธุรกิจแรกจับตา บิ๊กซี เตรียมออกรบในต่างแดน ยอมรับเจรจากับกลุ่มกาสิโนแล้วในเบื้องต้น
ทุ่มงบลงทุนปีนี้ 5 พันล้านบาท ขยายเครือข่ายให้ครบ 300 สาขา แตกซับแบรนด์เพิ่มมูลค่า
นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด
หรือซีอาร์ซี เปิดเผยถึงนโยบายในการดำเนินธุรกิจช่วงปี 2547 ว่า ซีอาร์ซีได้ปรับโครงสร้างองค์กรโดยดึงมืออาชีพภายนอกเข้ามาเสริมในระดับบอร์ดและระดับบริหาร ขณะนี้มีผู้บริหารใหม่เข้ามาจำนวนหนึ่ง คือ นายโจเซฟ เอฟ.ลอมบาโต ตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายปฏิบัติการหรือซีโอโอ เมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา
นอกจากนั้นยังมีการแต่งตั้งระดับเอสวีพีอีก 3 ตำแหน่งคือ ด้านการเงินเป็นคนไทย
ด้านกลยุทธ์เป็นคนไทย ด้านการตลาดเป็นคนต่างประเทศ และอีกตำแหน่งคือด้านธุรกิจใหม่อยู่ระหว่างการพิจารณา
ซึ่งจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้งหลังจากนี้
ซีอาร์ซีมีนโยบายที่จะขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งการขยายไปต่างประเทศนั้นขณะนี้เริ่มมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะการได้นายโจเซฟเข้ามาร่วมงาน เนื่องจากมีประสบการณ์ทางด้านธุรกิจที่ปรึกษาค้าปลีกโดยเฉพาะกับบริษัท
แอคเซนเจอร์ มานานกว่า 20 ปี และขณะนี้มีการตั้งทีมงานที่เข้ามาดูแลธุรกิจในต่างประเทศอย่างชัดเจนจากเดิมที่ยังไม่มีทีมโดยเฉพาะ ซึ่งได้ศึกษามาระดับหนึ่งแล้วคาดว่าภายใน 3 เดือนจากนี้น่าจะมีข้อมูลหรือรายละเอียดเพิ่มมากขึ้นและสิ้นปีนี้น่าจะมีภาพที่ชัดเจนได้ว่าทิศทางการลงทุนต่างประเทศจะเป็นอย่างไร
เนื่องจากต้องศึกษาให้ชัดเจนและครอบคลุม เพราะในแต่ละประเทศสถานการณ์จะไม่เหมือนกันทั้งในเรื่องของดีมานด์
ซัปพลาย ระบบค้าขาย เรื่องกฎหมายต่างๆ การแข่งขัน และความยากง่ายในการ ทำธุรกิจค้าปลีก
รวมทั้งการพิจารณาหาพันธมิตรที่จะลงทุนร่วมกันด้วย ซึ่งขณะนี้รูปแบบที่จะไปลงทุนมีทั้งการเทกโอเวอร์โครงการเก่า
หรือการร่วมทุนกับโครงการเดิมที่มีอยู่แล้ว อีกทั้งการนำธุรกิจในเครือไปเปิดเช่น
บีทูเอส ซึ่งน่าจะมีความเป็นไปได้เหมือนกับซูเปอร์สปอร์ต
อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นนี้ซีอาร์ซีจะโฟกัสไปที่ 4 ประเทศหลักก่อนคืออินโดนีเซีย
มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เนื่องจากเป็นตลาดที่ใกล้กับประเทศไทยอีกทั้งมีแนวโน้มการเติบโตรวมถึงตลาดค้าปลีกยังเปิดกว้าง แต่จะไปลงทุนทีละประเทศ
นายทศยอมรับว่าที่ผ่านมาได้มีการเจรจาในเบื้องต้นกับทางระดับบริหารของกลุ่มกาสิโนบ้างแล้วเช่นกัน
เนื่องจากกลุ่มกาสิโนก็มีความสนใจที่จะขยายตลาดค้าปลีกในเอเชียนี้ด้วย และการร่วมทุนกับกลุ่มซีอาร์ซีในธุรกิจ
บิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์ก็ประสบความสำเร็จอย่างดี ซึ่งธุรกิจดิสเคานต์สโตร์นั้นน่าจะมีแนวโน้มแรกๆที่จะเข้าไปลงทุน
เนื่องจากว่าแต่ละประเทศมีน้อยมากเช่น มาเลเซียมีเพียง 20 กว่าแห่ง อินโดนีเซียมีประมาณ
10 กว่าแห่ง ฟิลิปปินส์ไม่น่าจะเกิน 5 แห่ง ขณะที่ประเทศไทยมี 4 ค่ายยักษ์คือ เทสโก้
โลตัส บิ๊กซี คาร์ฟูร์ แม็คโคร รวมกันทั่วประเทศมากกว่า 100 สาขา
ส่วนตลาดประเทศจีนนั้นที่ใครๆ มองว่าเป็นตลาดใหญ่ที่น่าสนใจ นายทศให้ความเห็นว่า
คนทั่วโลกสนใจอยากเข้ามาทำธุรกิจในจีนเหมือนกันหมด เพราะมองว่ามีประชากรเป็นพันล้านคน
ตลาดใหญ่โต แต่จริงๆแล้วทำตลาดยากมากและคนจีนเดี๋ยวนี้ก็มีความฉลาดมากขึ้น การทำกำไรคงไม่ได้มาก
ส่วนเรื่องกฎหมายก็ยังไม่เป็นสากลเท่าที่ควร คือโอกาส ดีมาก แต่การทำธุรกิจต้องใช้สายสัมพันธ์ค่อนข้างสูง
ส่วนตลาดเวียดนามนั้นน่าจับตา แต่ว่ารายได้ประเทศ ยังต่ำอยู่ แต่ในอนาคตตลาดเวียดนามมาแน่นอน
เป็นคำถามของเรื่องเวลามากกว่า
นายโจเซฟกล่าวเสริมว่า ร่วมงานกับทางบริษัท แอคเซนเจอร์มานาน ทำงานที่ยุโรปและอเมริกานาน
กว่า 15 ปี หลังจากนั้นบริหารงานเอเชียนาน 9 ปี ล่าสุดคือ ตำแหน่ง แมเนจจิ้งพาร์ตเนอร์
เคยผ่านการ เป็นที่ปรึกษาธุรกิจค้าปลีกมากมายเช่น เทสโก้ กลุ่มฮัทชิสันวัมเปา
แนวทางการทำงานในซีอาร์ซี จะมีการพัฒนาธุรกิจให้มีศักยภาพยิ่งขึ้นเช่น การปรับเปลี่ยนท็อปส์ในรูปแบบใหม่
รวมถึงการรีโนเวทสาขาเก่า การผลักดันโฮมเวิร์กให้ต่อสู้กับโฮมโปร การขยายร้านบีทูเอสไปต่างจังหวัดมากขึ้น
เป็นต้น
สำหรับการลงทุนในประเทศนั้น นายทศเผยว่าในปีนี้ตั้งงบลงทุนไว้ 5,000 ล้านบาท
ซึ่งจะใช้ในโครงการหลักๆคือ เซ็นทรัลเฟสติวัลภูเก็ต ห้างเซนที่จะปรับปรุงและขยายพื้นที่
ใช้งบรวม 1,400 ล้านบาท ปรับปรุงเซ็นทรัลสาขาชิดลม ลงทุนซอฟต์แวร์จากเอ็นอีซีกว่า
40 ล้านบาท และมีแผนที่จะขยายสาขาทั้งหมดอีก 70 สาขาภายในปีนี้ รวมเป็น 300 สาขาภายในสิ้นปีนี้
แต่ไม่มีการเปิดธุรกิจใหม่ๆมีแต่เพียงการแตกซับแบรนด์ เช่น โฮมเวิร์คดีไอวาย บีทูเอส
คอร์เนอร์ เพาเวอร์บายอิมเมจ
ตามแผนเดิมปีนี้ตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 45,000 ล้านบาท เติบโต 13% จากปีที่แล้วที่ทำได้
40,000 ล้านบาท แต่เนื่องจากได้ซื้อหุ้นของท็อปส์เข้ามาหมด 100% เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
และได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท เซ็นทรัล ฟูด รีเทล จำกัดแต่ใช้ชื่อเดิมคือท็อปส์
จึงทำให้ยอดรายได้รวมปีนี้ขึ้นมาอยู่ที่ 60,000 ล้านบาท หรือเติบโต 50% โดยมีพื้นที่ค้าปลีกของกลุ่มรวม
688,000 ตารางเมตร
ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมาซีอาร์ซีใช้งบลงทุนรวม 3,500 ล้านบาท ซึ่งใช้ลงทุนที่ภูเก็ต
1,500 ล้านบาท มีการเปิดสาขาของเครือรวม 42 สาขา แบ่งเป็น เพาเวอร์บาย 11 สาขา
ซูเปอร์สปอร์ต 3 สาขา บีทูเอส 21 สาขา โฮมเวิร์ค 1 สาขา ออฟฟิศดีโป 6 สาขา
ผลประกอบการช่วงไตรมาสแรกปีนี้ทำได้กว่า 14,300 ล้านบาท สูงจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว
50% แต่ถ้าไม่รวมท็อปส์จะโต 15% ส่วนกำไรเติบโต 20% โดยมีตัวหลักที่ทำรายได้เพิ่มคือ
ห้างโรบินสันที่โต 20% จาก 4-5 ปีก่อนหน้าโตต่ำมากแค่ 2-3% ส่วนห้างเซ็นทรัลยังแข็งแกร่งเติบโต
15% ขณะที่ธุรกิจ ดาวรุ่งอย่าง โฮมเวิร์ค บีทูเอส ออฟฟิศดีโป เฉลี่ยโต 50%