บิ๊กบลจ.ทหารไทยยอมรับควบแบงก์ทำธุรกิจชะลอ


ผู้จัดการรายวัน(26 พฤษภาคม 2547)



กลับสู่หน้าหลัก

บิ๊กบลจ.ทหารไทย ยอมรับ ควบ TMB-DTDB-IFCT ส่งแผนขยายธุรกิจบลจ.ทหารไทยชะลอตัวเล็กน้อย แต่มั่นใจ ปีนี้ NAV เติบโตตามเป้า 20% เหตุหลังรวมเสร็จได้สาขาและฐานลูกค้าเพิ่มจากดีบีเอสไทยทนุ นอกจากนั้น ปรับกลยุทธ์การบริหารใหม่ เตรียมออกกองทุนหลากหลายเพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้า ด้านภาพรวมเศรษฐกิจยังมีมุมมองเป็นบวก แม้เกิดวิกฤตน้ำมัน-ดอกเบี้ย เชื่อธุรกิจไทยเพิ่งเข้าสู่วัฏจักรขาขึ้น

นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด กล่าวว่า บริษัทยังคงตั้งเป้าหมายมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ของบลจ.ทหารไทยจะโตประมาณ 20% จากสิ้น ปี 2546 ที่มี NAV 50,000 ล้านบาท แม้ขณะนี้มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารและมูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วยลงทุนจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากต้นปีมากนัก

ทั้งนี้ นอกจากความผันผวนของการลงทุนในตลาดการเงิน ทั้งตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้นที่เป็นปัจจัยขัดขวางให้บริษัทไม่สามารถขยายตัวตามเป้าได้เร็วแล้ว ปัจจัยหนึ่งที่มีผลกระทบอย่างมากคือการควบรวมกิจการระหว่างธนาคารทหารไทย ที่เป็นบริษัทแม่คือธนาคารทหารไทย (TMB) กับธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ (DTDB) และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (IFCT) ที่ยังไม่เรียบร้อยทำให้การขยายงานด้านการขายกองทุนรวมไม่สามารถดำเนินงานได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยปัจจุบันบริษัทกระจายการขายหน่วยลงทุนผ่านธนาคารทหารไทยอยู่ 80%

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการควบรวมกิจการเรียบร้อยแล้ว บริษัทจะได้ประโยชน์จากการที่มีช่องทางการขายเพิ่มมากขึ้นจากสาขาของธนาคาร ดีบีเอส ไทยทนุ อีกประมาน 60 สาขา ที่เมื่อรวมกับสาขาของธนาคารทหารไทยเดิมที่มีอยู่ประมาณ 400 สาขา จะทำให้บริษัทมีสาขาเพิ่มเป็นเกือบ 500 สาขา ซึ่งจะช่วยเพิ่มฐานลูกค้าและจำนวน เม็ดเงินในการลงทุนผ่านกองทุนรวมของบริษัทให้เพิ่มมากขึ้นตามเป้าหมายในปลายปีได้ นอกจากนี้ยังอาจจะได้ผลประโยชน์จากการปรับโครงสร้างการบริหารองค์กรใหม่ ที่จะทำให้สินค้าของบริษัทสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายมากขึ้น

นางโชติมา กล่าวต่อว่า บริษัทได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การบริหารกองทุนใหม่ด้วยการเตรียมออกกองทุนที่มีลักษณะการลงทุนที่หลากหลายให้นักลงทุนเลือกลงทุนในปีนี้อีก 6-7 กองทุน หากการลงทุนในตลาดหุ้นมีทิศทางการลงทุนที่ดีขึ้น คาดว่าบริษัทจะสามารถเพิ่มขนาดสินทรัพย์ได้ตามเป้าหมาย โดยปัจจุบันบลจ.ทหารไทยมีมาร์เกตแชร์อยู่ที่ระดับ 8.89% ซึ่งถือเป็นอันดับ 3 ในธุรกิจกองทุนรวม

ทั้งนี้ บริษัทได้ปรับกลยุทธ์สำหรับกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ โดยได้มีการกำหนดอายุการลงทุนที่ชัดเจนขึ้นเพื่อให้นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ตามความต้องการ เช่น กองทุน 7/49 เป็น กองทุนปิดที่มีอายุกองทุนประมาน 2 ปีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยประมาน 2.75% ต่อปี สามารถระดมเงินลงทุนได้ประมาน 1 พันล้านบาท กองทุน 1/51 เป็นกองทุนปิดที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถซื้อหน่วยลงทุนได้ตลอดแต่ไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ก่อนครบกำหนดอายุกองทุน ที่ 3.5 ปี ซึ่งจะได้รับผลตอบแทนสูง ซึ่งจะทำการเสนอขายต่อนักลงทุนระหว่างวันที่ 7-10 มิ.ย.นี้ และกองทุน 9/49 เป็นกองทุนปิดที่มีอายุโครงการประ-มาณ 2 ปี อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 2.75% ต่อปี อย่างไรก็ตาม การลงทุนในตลาดตราสารหนี้ยังมีข้อจำกัดจากความไม่สมดุลของตลาดรอง แม้จะมีสินค้าในตลาดแรกแต่ในตลาดรองกลับขาดสภาพคล่อง นอกจากนั้น บริษัทยังมีกองทุน SET 50 ปันผล เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักลงทุนสถาบัน ที่ต้องการสิทธิประโยชน์ทางภาษี

นางโชติมา กล่าวถึงแผนการออกกองทุนคุ้มครองเงินต้นว่า กองทุนนี้จะมีนโยบายการลงทุนแบบผสมระหว่างตราสารหนี้กับตราสารทุน โดยจะนำผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้มาลงทุนในตราสารอนุพันธ์ประเภทออปชัน ซึ่งจะได้รับผลประโยชน์มากขึ้นหากราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น และเมื่อครบอายุไถ่ถอนก็อาจจะได้ประโยชน์จากการถือหุ้นดังกล่าวได้ โดยกองทุนนี้เดิมจะสามารถออกเสนอขายได้ในปีนี้ และมีอายุการลงทุนประมาน 3 ปี แต่ต้องเลื่อนออกไปก่อนเนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต.มีประกาศให้การดำเนินการซื้อขายในตราสารทุนประเภทออปชัน จะต้องมีใบอนุญาตที่เฉพาะเจาะจงในตราสารดังกล่าวก่อน นอกจากนี้ตลาดหุ้นเองก็ยังผันผวนมาก ทำให้มูลค่าออปชันสูงเกินไปด้วย จึงจะต้องศึกษารายละเอียดการลงทุนในกองทุนดังกล่าวอย่างรอบคอบอีกครั้ง รวมถึงศึกษาความต้องการลงทุนในกองทุนดังกล่าวของนักลงทุนก่อนด้วย

ส่วนกองทุนหุ้นระยะยาวที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีนั้นได้รับความสนใจจากนักลงทุน ค่อนข้างมาก แต่คาดว่าการเติบโตของกองทุนนี้จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับการเติบโตของกองทุน RMF และเชื่อว่าจะทำให้นักลงทุนมีการบริหารการลงทุนที่ดีขึ้นด้วย

นางโชติกา กล่าวต่อว่า บลจ.ทหารไทยยังคงมีมุมมองที่ดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจ เนื่องจากเชื่อว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้นได้ไม่มากไปกว่านี้ ส่วนการที่จีนประกาศชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจนั้นก็เป็นเพียงการเติบโตในอัตราที่ลดลงเท่านั้น ไม่น่าจะมีผลกระทบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยมากนัก

อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวยังคงมีความกังวลเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นแต่ในระยะสั้นนี้ยังไม่น่ากังวลเท่าใดนัก เนื่องจากเชื่อว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำได้ในกรอบที่จำกัดมาก และเศรษฐกิจสหรัฐฯก็เพิ่งฟื้นตัวได้ไม่นานนัก นอกจากนี้ จากการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยก็ยังอยู่ในระยะต้นของวัฏจักรธุรกิจ เชื่อว่าพื้นฐานทางเศรษฐกิจแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับความผันผวนต่างๆ ได้

ทั้งนี้ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นภายใต้การบริหารของบริษัทก็ยังไม่มีการขายตัดขาดทุนแต่อย่างใด



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.