What Matters Most


นิตยสารผู้จัดการ( มิถุนายน 2547)



กลับสู่หน้าหลัก

บริษัทกับความรับผิดชอบต่อสังคม

หลายคนอาจจะคิดว่า แนวคิดเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัท ริเริ่มโดยบริษัทอย่าง Ben & Jerry's หรือ The Body Shop แต่ความจริงแล้ว แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ Jeffrey Hollender ชี้ว่า บริษัท Quakers ได้เริ่มคัดกรองธุรกิจที่บริษัทเข้าไปลงทุน ด้วยการใช้หลักเกณฑ์ด้านศีลธรรมจรรยา มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 แล้ว โดย Quakers จะถอนการลงทุนในธุรกิจที่แสวงหากำไรในทางที่บริษัทไม่เห็นด้วย

แต่บริษัทที่ยึดแนวทางเดียวกับ Quakers มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น แม้กระทั่งเมื่อเวลาล่วงมาถึงศตวรรษที่ 20 ก็ยังคงมีผู้ที่สนับสนุนแนวคิดที่ว่า "ความโลภเป็นสิ่งที่ดี" อย่าง Milton Friedman โดย Friedman ระบุในหนังสือชื่อ Capitalism and Freedom ที่เขาเขียนขึ้นในปี 1963 ว่า ความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นสิ่งที่ทำลายบริษัท พร้อมทั้งระบุด้วยว่า ความรับผิดชอบต่อสังคมเพียงอย่างเดียวที่ธุรกิจควรมีคือ "การเข้าแข่งขันกับคู่แข่งอย่างเปิดเผยและเสรี โดยปราศจากการหลอกลวงหรือฉ้อโกง" เท่านั้น Friedman ยังชี้ด้วยว่า เมื่อใดที่บริษัทเริ่มเชื่อว่า ตนต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมแล้วไซร้ นั่นคือจุดจบของความเป็นอิสระของบริษัท และจะต้องถูกครอบงำด้วยกฎเหล็กของรัฐสิ่งที่สำคัญที่สุด

แต่ Hollender คัดค้านความคิดที่ว่า ความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัท จะบ่อนทำลายระบบทุนนิยม Hollender ชี้ว่า บริษัทอย่าง Ben & Jerry's Homemade Inc และ Stonyfield Farm (ผลิตโยเกิร์ตแบบอินทรีย์) ต่างก็ประสบความสำเร็จทางธุรกิจอย่างงดงาม โดยต่างเป็นแบรนด์ระดับโลก และภายหลังยังถูกซื้อไปโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ Unilever ของเนเธอร์แลนด์ กับ Danone ของฝรั่งเศสตามลำดับ Gary Hirshberg ผู้ก่อตั้ง Stonyfield ยืนยันว่า ความรับผิดชอบต่อสังคมทำให้ธุรกิจของเขาประสบความสำเร็จ

ส่วนศาสตราจารย์ Lynn Sharp Paine แห่ง Harvard ชี้ว่า สังคมจะไม่สามารถอยู่รอด หากเรายอมยกเว้นให้บริษัท ซึ่งเป็นสถาบันที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดและมีจำนวนมากที่สุดในสังคมสมัย ไม่จำเป็นต้องมีศีลธรรมจรรยา ยิ่งโดยเฉพาะในโลกทุกวันนี้ ที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft เพียงแค่แห่งเดียว ก็มีมูลค่าตามราคาตลาดมากกว่ารายได้ประชาชาติของหลายประเทศรวมกัน เราก็ยิ่งต้องเรียกร้องความรับผิดชอบต่อสังคมจากบริษัทมากยิ่งขึ้น ตามอำนาจที่เพิ่มสูงขึ้นของบริษัทขนาดใหญ่เหล่านั้น

นอกจากนี้ Hollender ยังไม่เห็นด้วยกับ Friedman ที่ว่า รัฐบาลเป็นแหล่งเดียว ที่สามารถจะกดดันบริษัทให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมได้ แต่ลูกค้าก็เป็นฝ่ายสำคัญ ที่ให้ความสนใจกับวิธีการได้มาซึ่งกำไรของบริษัทเช่นกัน และผลก็คือ ปัจจัยตัวใหม่ที่เป็นแรงกดดันที่อ่อนไหวที่สุด ที่ทำให้บริษัทต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น ก็คือ "ชื่อเสียง" หรือค่าความนิยม (good will) ที่ปรากฏอยู่ในงบดุลของบริษัทนั่นเอง จุดนี้เองที่ทำให้บริษัทเริ่มตระหนักแล้วว่า ชื่อเสียง เป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุด อย่างที่อย่างโรงงานอันใหญ่โตหรืออาคารสำนักงานอันหรูหราไม่อาจจะเทียบได้



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.