ในรอบ 102 ปี ของธุรกิจภาพยนตร์ที่เกิดขึ้นในเมืองไทยได้สร้างคนสำคัญที่มีส่วนสร้างยุคต่างๆ
ให้กับวงการมากมาย วันนี้วิชัยกับวิชา พูลวรลักษณ์ แห่งค่าย "อีจีวี"
และ "เมเจอร์ซินีเพล็กซ์" เป็นผู้สร้าง อีกยุคหนึ่งของธุรกิจภาพยนตร์อ
ด้วยแนวคิดของคนรุ่นใหม่ โดยที่ต่างคนต่างมุ่งมั่นในแนวทางที่มั่นใจและทุ่มทุนแข่งขันกันในทุกรูปแบบด้วยระบบเทคโนโลยีที่สุดยอด
รวมทั้งการตกแต่งโรงภาพยนตร์ด้วยรูปลักษณ์ใหม่ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
และแล้ววันนี้สุวิทย์ ทองร่มโพธิ์ สิงห์หนุ่มหน้าหยกจากค่ายเอสเอฟ ได้หอบประสบการณ์จากการเป็นเจ้าโรงภาพยนตร์ในภูธร
ยึดเอา "เสี่ยเจียง" สิงห์เฒ่าแห่งสหมงคลฟิล์มเข้าร่วมเป็นพันธมิตร
และก้าวสู่สนามแข่งด้วย โดยปักธงชัยไปแล้วใน "เอสเอฟ ซีนีม่าซิตี้"
บนมาบุญครองชั้น 7 และกำลังวางแผนตามไปร่วมต่อสู้ด้วยในทุกทำเล
ธุรกิจโรงภาพยนตร์ ปี 2000 จึงกำลังรอวันเปิดฉากด้วยความตื่นเต้นน่าระทึก!
102 ปีของธุรกิจภาพยนตร์ในเมือง ไทยที่ผ่านไปนั้นได้เกิดเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างมากมาย
การบริหารโรงภาพยนตร์ในปัจจุบันนอกจากจะแข่งกันด้วยรูปลักษณ์ใหม่ที่หรูหรา
โอ่อ่าแล้ว ก็ยังแข่งกันด้วยระบบมาตรฐานของโรงภาพยนตร์เอง เพื่อรองรับการพัฒนาของระบบเสียงที่ทันสมัยขึ้นจากเดิมที่เป็นระบบ
Stereo มาเป็น Mono และระบบ Digital จนถึงระบบ Dolby Digital Surround EX
ปีเตอร์ ซีเกอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายระหว่างประเทศของ Dolby ให้สัมภาษณ์ไว้ในหนังสือ
Starpice ฉบับเดือนกันยายน 2542 ว่า ยอดโรงภาพยนตร์ในเมืองไทยที่ติดตั้งระบบเสียงดิจิตอลมีทั้งหมด
310 โรง และที่ติดตั้งระบบ EX มีถึง 140 โรง ซึ่งทำให้ประเทศไทยมีโรงภาพยนตร์ที่เป็นระดับ
เดียวกับยุโรปและอเมริกา และดีกว่าหลายๆ ประเทศในแถบเอเชีย แม้แต่สิงคโปร์เอง
สิ่งที่เกิดขึ้นยืนยันให้เห็นว่าโรงภาพยนตร์ในเมืองไทยไม่ได้เป็นธุรกิจที่ตายไปตามกระแสเศรษฐกิจอันเลวร้าย
แต่กลับพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง โดยสถาบันการเงินเองก็พร้อมที่จะอ้าแขนโอบเอื้อ
ในการปล่อยกู้โดยมีกระแส เงินสดที่เข้ามาแต่ละวันเป็นการันตี
สิ่งที่สำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือการที่เจ้าของโรงภาพยนตร์มีความเชื่อมั่นว่าในยุคแห่งการสื่อสารที่ไร้พรม
แดนทุกวันนี้ ประเทศเราถูกควบคุมจัดการด้วยโลกแห่งจินตนาการจากฮอลลีวู้ด
ในปีนี้โรงหนังที่อเมริกาเพิ่มขึ้นนับพันโรง โรงหนังมากขึ้นคนสร้างหนังมากขึ้น
ช่องทางการจัดจำหน่ายก็มากขึ้น "Holly Wood never Die" คือสิ่งที่นักธุรกิจคิด
และยังเป็นธุรกิจต้นน้ำ ซึ่งเป็นที่มาของสินค้าอื่นๆ อีกมาก มาย เช่นแผ่นวิดีโอเทป
วีซีดี เทปเพลง และสินค้าพรีเมียมอื่นๆ
2 ค่ายใหญ่ที่มีการแข่งขันกันรุนแรงที่สุดบนถนนสายบันเทิงในเมืองไทยวันนี้คือค่าย
อีจีวี (EGV) Entertain Golden Villege Thailand ที่มีวิชัย พูลวรลักษณ์
เป็นผู้บริหาร ร่วมกับกลุ่มโกลเด้น ฮาร์เวสต์ จากฮ่องกง และวิลเลจ โรดโชว์จากออสเตรเลีย
อีกค่ายหนึ่งคือ เมเจอร์ ซินี-เพล็กซ์ ที่มีวิชา พูลวรลักษณ์ เป็นผู้บริหาร
ความแตกต่างของอีจีวีกับเมเจอร์ ที่เห็นได้ชัดๆ ก็คือ อีจีวีจะเคลื่อนทัพไปเปิดตามศูนย์การค้าใหญ่ๆ
และเปิดพร้อมๆ กันหลายๆโรง ปัจจุบันอีจีวีมีโรงหนัง ทั้งหมดประมาณ 70 โรง
22,000 ที่นั่ง
ในขณะที่ค่ายเมเจอร ์จะลงทุนสร้างศูนย์เอ็นเตอร์เทนเม้นท์เป็นของตัวเองไม่ผูกติดไปกับศูนย์การค้าปัจจุบันมี
4 ศูนย์ใหญ่คือ เมเจอร์ ปิ่นเกล้า เมเจอร์ สุขุมวิท เมเจอร์ รัชโยธินซึ่ง
มีโรงภาพยนตร์ทั้งหมด 45 โรงประมาณ 14,500 ที่นั่ง ต่างฝ่ายต่างก็มั่นใจในคอนเซ็ปต์ของตน
และยึดเป็นนโยบายที่เหนียวแน่นในการสยายสาขาในการทำธุรกิจ แม้จะไม่แตกกันแต่ก็ไม่ประสาน
"ในความเป็นญาติเราต่างมีให้กัน เหมือนเดิม ญาติคนนั้นคนนี้แต่งงาน
เราก็ไปร่วมแสดงความยินดี ไปปาร์ตี้สังสรรค์ ใครเปิดโรงใหม่เราก็ไปแสดงความยินดีกัน
แต่ในเชิงธุรกิจเราก็เหมือนคู่แข่งกัน ถ้าจะถามว่าจะมาร่วมมือกันไหมเราคงไม่คุยเรื่องนี้แล้วเพราะ
เคยพูดกันมานานตอนนี้มันเลยจุดนั้นมาแล้ว"
วิสูตรพี่ชายของวิชัยผู้บริหารคนหนึ่งของอีจีวี กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
วิชัยกับวิชาไม่ใช่พี่น้องกัน แต่เป็นญาติสนิทที่ต่างก็มาจากรากเดียวกัน
คือตระกูลพูลวรลักษณ์ ซึ่งในรุ่นพ่อมีด้วยกัน 4 คน พี่น้อง คือ เจริญ จำเริญ
เกษม และจรัล ซึ่งทั้ง 4 คนพี่น้อง ได้ช่วยกันบริหารโรงภาพยนตร์ โรงแรกของตระกูล
คือศรีตลาดพลู โรงหนังซึ่งเป็นเก้าอี้ไม้ พัดลม ราคาตั๋วหนังใบละเพียง 2
บาท ก่อนที่จะขยายตัวไปยังจุดต่างๆ ของกรุงเทพฯ คือ เมโทร เพชรราม่า และแมคเคนน่า
ภายใต้การบริหารของ บริษัทโกบราเดอร์ จำกัด (CO-BROTHER)
คำว่า CO หมายถึงแซ่โกว ซึ่งเป็นแซ่ของตระกูล หรือหมายถึงความร่วมมือ
โลโกของโกบราเดอร์ จึงเป็นภาพมือ 4 ข้างจับกัน
โรงหนังศรีตลาดพลู เกิดขึ้นเมื่อปี 2504 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่วิชัยเกิด
และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปี วิชา ซึ่งเป็นลูกของผู้เป็นอา คือจำเริญก็ลืมตาดูโลกเช่นเดียวกัน
ดังนั้นชีวิตในวัยเด็กของคนทั้งคู่จึงคลุกคลีอยู่กับโรงหนัง เป็นลูกเถ้าแก่ตัวน้อยที่ริเริ่มทำธุรกิจตั้งแต่ในวัยเด็ก
"ตั้งแต่เกิดผมก็อยู่กับโรงหนังแล้ว โตขึ้นมาหน่อยก็ขายน้ำ ขายขนม อยู่ในโรงหนังกับบรรดาญาติๆ
รุ่นเล็กด้วยกัน โรงหนังพักรอบทีขายดีที ก็วิ่งอยู่ในโรงหนังจนหนังเลิก รอกลับพร้อมคุณพ่อพร้อมพี่สาว
ตอนนั้นคุณพ่อเป็นผู้จัดการโรง คุณอาจำเริญ คุณอาเกษมเป็นคนฉายหนัง อาผู้หญิง
ก็เป็นคนขายบัตร พอโรงขยายมากขึ้นคุณพ่อก็จะเป็นแผนกสร้าง คุณอาจำเริญก็จะเป็นฝ่ายบริหารคอยจัดรอบฉายเรื่องอะไร
ฉายเมื่อไหร่"
วิชัยเล่าย้อนให้ "ผู้จัดการ" ฟังถึงชีวิตในวัยเด็กซึ่งเขาไม่คาดคิดว่าอิทธิพลต่างๆ
จากประสบการณ์ในวัยเด็ก ได้ซึมลึกติดตัวไป ทำให้เขาสลัดอาชีพนี้ไม่ออกทั้งๆ
ที่ไม่ได้อยากทำเลย "เราน่าจะทำอะไรที่มีรายได้ที่ดีกว่านี้ และที่สำคัญเราก็เหมือนกับคนหนุ่มสาวทั่วไปที่มองว่าธุรกิจครอบครัว
เป็นอะไรที่ยัดเยียดไม่อยากจะทำ และธุรกิจโรงหนังเป็นธุรกิจที่ไม่มีอนาคต
หลายคนคิดอย่างนี้กันรวมทั้งผมด้วย"
แต่สิ่งที่ทำให้วิชัยตัดสินใจกระโดดลงมาทำธุรกิจโรงภาพยนตร์อย่างเต็มตัว
หลังจากจบปริญญาตรีจากคณะเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร ์ก็เพราะเจริญขอร้องว่าอย่าทิ้งธุรกิจโรงหนัง
และเพราะประทับใจในความเป็นคนรักหนังไทยของวิสูตรพี่ชายที่เข้ามาเป็นผู้อำนวยการสร้างเอง
รวมทั้งมองว่ามันเป็นธุรกิจที่สร้างสรรค์เป็นธุรกิจที่ขายรอยยิ้มและน้ำตาแห่งความสุข
การตัดสินใจของวิชัยในครั้งนั้นทำให้เกิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการธุรกิจบริหารโรงภาพยนตร์ในเมือง
ไทย และเขาก็ได้ก้าวขึ้นไปเป็นอันดับหนึ่งในวงการนี้โดยไม่คาดคิด
ก่อนหน้านั้นบริษัทของกงสี โก-บราเดอร์ได้สยายปีกครอบคลุมทั่วทั้งกรุงเทพฯ
และธนบุรีด้วยจำนวนโรงภาพยนตร์ประมาณ 50 โรง แต่แล้วประมาณปี 2527 จำเริญก็ได้แยกตัวออกมา
"ในปี 2527 คุณศุภชัย อัมพุช บิดาของศุภลักษณ์ อัมพุช เจ้าของห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์
เขาเสนอให้พี่ชายผมคือคุณเจริญเช่าโรงภาพยนตร์เอ็มจีเอ็มที่เดอะมอลล์ รามคำแหง
แต่พี่ชายผมไม่เอาเพราะเห็นว่าธุรกิจช่วงนั้นตกต่ำอย่างมาก ผมเลยรับมาบริหารเองนับเป็นโรงภาพยนตร์คู่แรกที่อยู่นอกกงสีพูลวรลักษณ์"
(ดนุช ตันเทอดทิตย์เขียนไว้ในผู้จัดการรายเดือนปี 2537)
ความสำเร็จของเอ็มจีเอ็ม อยู่ตรงที่เป็นโรงภาพยนตร์ ที่อยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้า
ซึ่งเป็นธุรกิจที่บูมมากในสมัยนั้น ซึ่งแม้แต่ วิสรรค์ วิศิลป์และ ศรีจันทร์
ลูก 3 คนใน 5 คน ของจำเริญเอง ก็ยังหันไปสนใจธุรกิจศูนย์การค้ามากกว่าโรงภาพยนตร์
ทางออกของ
จำเริญตอนนั้นก็คือเขาได้เข้าไปสร้างโรงหนังในศูนย์การค้าเป็นมินิเธียเตอร์แทน
โดยเข้าไปสร้างโรงหนังเมเจอร์ในห้างสรรพสินค้าเวลโกของลูก ในห้างสรรพสินค้ามาบุญครองและห้างอื่นๆ
จำเริญเลยเป็นที่ยอมรับในวงการบันเทิง ว่าเป็นผู้บุกเบิกยุคที่ 2 ของโรงภาพยนตร์
ที่เรียกว่ายุค "มินิเธียเตอร์" ซึ่งคราวนี้ไม่เกี่ยวกับธุรกิจดั้งเดิมของตระกูลแล้ว
และแล้วโรงหนังแบบมินิเธียเตอร์ที่ผู้เป็นอาเป็นคนริเริ่มต้องหลบฉากถอยไป
เมื่อเกิดระบบมัลติเพล็กซ์ ของวิชา หลานชายเกิดขึ้น เมื่อปี 2536 ซึ่งถือเป็นยุคที่
3 ของวงการภาพยนตร์
การนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามานี้วิชาได้ร่วมทุน 50% กับกลุ่มวิลเลจโรดโชว์
บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในออสเตรเลีย และทำธุรกิจเอนเตอร์เทนเม้นท์ครบวงจรมานานกว่า
30 ปี มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และบริษัทโกลเด้นท์ ฮาร์เวสต์ จากฮ่องกง
ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตภาพยนตร์จากฮ่องกง เรื่องที่คนไทยรู้จักกันดีตอนนั้นก็คือ
"ไอ้หนุ่มซินตึ้ง" บริษัทอีจีวีในประเทศไทยที่บริหารโดยวิชาก็เลยเกิดขึ้นในปีนั้น
มัลติเพล็กซ์เกิดขึ้นในอเมริกาเมื่อประมาณปี 2532-2533 เป็นระบบที่รวมโรงภาพยนตร์หลายๆ
โรงไว้ด้วยกัน โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยทำให้สามารถฉายภาพยนตร์เรื่องเดียว
กันพร้อมกันครั้งละหลายๆ โรงมีการบันทึกเสียงด้วยระบบดิจิตอล ซึ่งคมชัด พร้อมๆ
กันนั้นยังมีบริการด้านอื่นๆ เช่น ร้านอาหาร ร้านคอมพิวเตอร์ ร้านเกม การตั้งอยู่ในศูนย์การค้าจะเป็นการเสริม
จุดนี้ซึ่งกันและกัน โรงหนังประเภทนี้จะเป็นที่ต้องการของศูนย์การค้าทุกแห่ง
โรงภาพยนตร์ในระบบระบบมัลติ เพล็กซ์นอกจากจะสร้างความแปลกใหม่ให้เกิดขึ้นในวงการภาพยนตร์แล้ว
ยังสร้างความสะดวกให้แก่ผู้ชมภาพยนตร์อย่างมาก เพราะการขายบัตรที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ทำให้ผู้ชมไม่จำเป็นต้องรอคิวเข้าแถวซื้อตั๋วยาว
เหยียดเหมือนเดิม มีจอคอมพิวเตอร์ แจ้งชื่อเรื่องชื่อรอบ และโรงที่ฉายอย่างชัดเจน
โดยไม่ต้องสับสน ด้วยจุดดีดังกล่าวทำให้โรงหนังเล็กๆ แบบมินิเธียเตอร์ ต้องค่อยทยอยหายไปจากวงการ
ภาพยนตร์ไทย
วิชัยสามารถเคลื่อนทัพโรงหนังด้วยระบบมัลติเพล็กซ์ได้อย่างรวดเร็ว ด้วยเงินทุน
และการถ่ายทอดเทคโน-โลยีที่ได้มาจากพันธมิตรชาวต่างชาติ ตอนนั้นเขาสามารถสร้างได้พร้อมๆ
กัน 65 โรง ใน 4 สาขาในช่วงเวลา 18 เดือน โดยตอกเสาเข็มที่ฟิวเจอร์พาร์ค
บางแค เป็นที่แรก ต่อจากนั้นก็ปูพรมสร้างต่อในซีคอนสแควร์ ฟิวเจอร์พาร์ค
รังสิต และที่แฟชั่นไอส์แลนด์
"หุ้นส่วนผมเขายังมีอะไรที่เป็นคนเอเชีย ถ้าอเมริกันเขาจะมองเป็นธุรกิจอย่างเดียว
ธุรกิจก็ต้องเป็นธุรกิจ ลงทุนต้องได้คืน ออสซี่ไม่ใช่ บางครั้งเขายังถามผมเรื่องฮวงจุ้ย
มันทำให้เรารู้สึกว่าเรามีความสุขที่จะจอย " วิชัยพูดถึงหุ้นส่วนของเขากับ
"ผู้จัดการ"
ปัจจุบันโรงหนังของอีจีวีมีอยู่ประมาณ 2,000 โรงทั่วโลก แต่เป็นอีจีวีในประเทศไทยประมาณ
80 โรง และเมื่อปี 2540 โรงหนังในเครืออีจีวีประเทศ ไทยก็ได้ประกาศศักดิ์ศรีให้ต่างประเทศได้รับรู้ด้วยรางวัล
Exhibitor of the year" ในงานประกวดที่จัดขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์
การพลิกโฉมใหม่ในการดูหนังครั้งใหม่นี้ ทำให้หลายค่ายคู่แข่งปฏิวัติตัวเองตามเช่นกัน
แต่ด้วยจำนวนโรงที่มากกว่าจำนวนที่นั่งที่มากกว่าทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของค่ายอีจีวีในกทม.
สูงขึ้นเป็นอันดับหนึ่งอย่างไม่ยากนัก
แต่วิชัยเองก็ไม่ยอมเสียเวลาชื่นชมฝันหวานกับความสำเร็จที่ได้รับ เพราะบัดนี้คู่แข่งก็ตามเขากระชั้นเข้ามาแล้วเหมือนกัน
เขาเองรู้ดีว่าระบบโรงภาพยนตร์ที่ใหม่ ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยนั้นทุกอย่างตามทันกันได้หมด
เพียงแค่มีเงิน การแข่งขันกันในเรื่องความคิด ความรวดเร็ว และบริการต่าง
หากที่สำคัญ
ความคิดใหม่ที่ฉีกแนวออกไปของวิชัย คือรูปลักษณ์ใหม่ของโรงภาพยนตร์ที่เกิดขึ้นในโรงแกรนด์อีจีวี
ที่สยามดิสคัฟเวอรี่ และได้เปิดตัวเมื่อเดือนกันยายน 2542 ที่ผ่านมาในแกรนด์
อีจีวี มีโรง "โกลด์คลาส" 40 ที่นั่ง ราคาบัตรในซองที่ดีไซน์อย่างสวยเก๋นั้นราคาแพงถึง
300 บาทต่อที่นั่ง
วิชัยคิดได้อย่างไร แล้วทำไมถึง กล้าทำอะไรสวนกระแสในภาวะเศรษฐ กิจดิ่งลงเหวแบบนี้
(อ่านรายละเอียดในล้อมกรอบ)
"ในปี 2000 เรามีเทคโนโลยีหลายตัวที่เราเตรียมการไว้พอสมควรแล้ว ซึ่งคนที่เป็นแฟน
EGV จริงๆ จะเห็นการเปลี่ยนแปลงทางด้าน IT ของอีจีวีอย่างมาก" วิชัยยืนยันอีกครั้ง
ในขณะที่วิชัยวางแผนยึดหัวหาดสร้างโรงหนังมัลติเพล็กซ์ในศูนย์ การค้า
วิชาก็มั่นใจในคอนเซ็ปต์ของ "เมเจอร์ ซีนิเพล็กซ์" ซินีเพล็กซ์ (Cineplex)
มีความหมายมาจากคำว่า Cinema Entertainment Complex คือความบันเทิงและโรงภาพยนตร์ที่มาอยู่รวมกันพร้อมให้การบริการบันเทิงด้านอื่นหลากหลาย
และในโรงภาพยนตร์เองก็ได้มีการนำเอาระบบเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้เช่นกัน เพียงแต่ว่าวิชาได้ลงทุนสร้างตึกขึ้นมาเอง
โดยไม่ผูกติดกับศูนย์การค้าเหมือนอีจีวีและบริหารพื้นที่เองทั้งหมด โดยส่วนใหญ่แล้ว
60% ของพื้นที่ตึกจะเป็นโรงภาพยนตร์จำนวน หลายๆ โรงและพื้นที่ของเอนเตอร์เทนอื่นๆ
ของทางเมเจอร์เอง ส่วนอีก 40% ที่เหลือคือพื้นที่ที่จะขายให้กับร้านค้าย่อยอื่นๆ
จุดสำคัญของความคิดนี้หัวใจอยู่ที่ทำเล ค่ายอีจีวีอาจจะมีตัวศูนย์ การค้าเป็นหัวหอกตอกย้ำความมั่นใจว่าทำเลที่ศูนย์การค้าตั้งจะมีกลุ่มเป้าหมายลูกค้าแน่นอน
ถ้าพลาดทางอีจีวีก็อาจจะ ไม่ต่อสัญญาเช่าพื้นที่โรงหนังในปีต่อๆ ไปซึ่งการเจ็บตัวที่เกิดขึ้นอาจจะน้อยกว่า
แต่ของค่ายเมเจอร์ต้องคิดเองและพิสูจน์เอง และต้องสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดกับร้านค้ารายย่อยที่จะต้องไปด้วยกันด้วย
ถ้าพลาดค่ายเมเจอร์ต้องรับภาระที่ตามมาคนเดียวเต็มๆ แต่ถ้าโชคดีเม็ดเงินที่คืนกลับมามันก็มากกว่าการทำธุรกิจโรงหนังอย่างเดียวแน่นอนเหมือนกัน
"ตอนทำสาขาแรกที่เมเจอร์ ปิ่น- เกล้า เราก็ไม่มั่นใจ มันยากมากที่จะไป
บอกลูกค้าว่าซินีเพล็กซ์คืออะไร ผมก็ไม่ มั่นใจ แต่ผมมีความกล้า กล้าๆ หน่อย
คือสิ่งที่ผมคิด" เพราะความกล้าในวันนั้นของวิชา ทำให้เขาผงาดเป็นมือหนึ่งอีกคนบนถนนสายนี้
วิชาจบคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโททางด้านการเงินที่แซนดิเอโก
สหรัฐอเมริกา จบมาก็ช่วยพี่ชายคือ วิสรรค์ทำงานที่ห้างเวลโกในระหว่างที่ทำธุรกิจเรียลเอสเตทกำลังบูมเลยออกมาทำเรื่องบ้านจัดสรร
เพราะมองว่ามันเป็นการลงทุนที่ทำให้มูลค่าเพิ่มเหมือนกัน
วิชาไปเป็นนักพัฒนาที่ดินเจ้าของ บริษัทเวลแลนด์ดีเวลลอปเม้นท์อยู่พักหนึ่ง
จนเกิดเหตุการณ์ห้างเวลโกไฟไหม ้บรรดาพี่น้องก็เสนอโปรเจกต์ไปให้ทางครอบครัว
และในที่สุดจำเริญก็ให้โอกาสแก่วิชา
ปี 2536 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่วิชัยจับมือกับชาวต่างชาติ วิชาก็เริ่มลุยโครงการเมเจอร์
ปิ่นเกล้า ในพื้นที่ 30,000 ตารางเมตรมีโรงภาพยนตร์ขนาด 300-500 ที่นั่ง
6 โรง 800-1,200 ที่นั่ง 2 โรง และหลังจากนั้นต่อมาก็ได้มาพัฒนาเมเจอร์ สุขุมวิท
และรัชโยธิน พร้อมๆ กันโดยใช้ทำเลเป็นตัวนำเช่นเดิม
เมเจอร์ ซินีเพล็กซ์ รัชโยธิน ในคอนเซ็ปต์สุดยอดเมืองหนังและศูนย์รวมบันเทิงระดับโลก
เป็นโครงการ ใหญ่ที่สุดของวิชัยที่วางแผนมาตั้งแต่ปี 2539 เริ่มก่อสร้างในปี
2540 เจอวิกฤติ การเงินสถาบันการเงินที่สนับสนุนถูกสั่งปิด แต่ในที่สุดก็ฝ่ามรสุมมาได้และได้เปิดตัวในปี
2541 ปีที่เศรษฐกิจดิ่งลงเหวสุดๆ
เมเจอร์ รัชโยธิน ถูกพัฒนาขึ้นเป็นตึกสูง 6 ชั้นมีพื้นที่รวมประมาณ
6 หมื่นตารางเมตร ขนาดของมันใหญ่กว่า เมเจอร์ที่ปิ่นเกล้า และสุขุมวิทประมาณ
1 เท่าตัว มีโรงภาพยนตร์ทั้งหมด 14 โรง และมี IMAX THEATRE โรงภาพยนตร์ 3
มิติอีก 1 โรง
IMAX เป็นโรงภาพยนตร์ที่สุดยอดในเรื่องเทคโนโลยี เป็นโรงหนังแห่งอนาคตที่วิชาได้ร่วมลงทุนกับประเทศออสเตรเลีย
เป็นเม็ดเงินถึง 350 ล้านบาทเพื่อสร้างเป็นจุดขายของที่นี่ (อ่านรายละเอียดในล้อมกรอบ)
ส่วนโรงอื่นๆ ในโครงการนี้ก็ได้มีการทุ่มงบประมาณอย่างเต็มที่ในการตกแต่งเช่น
เป็นอี-ยิปต์สไตล์ ยุโรปสไตล์ และฮอลลีวู้ด สไตล์ในบริเวณชั้นที่ 1 ชั้น
2 และ 3 ก็จะมีร้านอาหารชั้นนำ ร้านจำหน่ายเทปและซีดี รวมทั้งอุปกรณ์กีฬา
ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นลูกค้าแบรนด์เนมรายเดิมๆ ที่ให้ความเชื่อมั่น และขอเกี่ยวก้อยตามไปเปิดด้วยในทุกสาขาของเมเจอร์
ในชั้น 4 วิชายังดึงเอาโบว์ลิ่ง สะท้อนแสง 38 เลน รุ่นใหม่ทันสมัยที่สุดเข้ามา
"หากมีเอนเตอร์เทนเม้นท์อะไรใหม่ๆ ของโลกเกิดขึ้นเราก็จะนำเข้ามา อย่างเมื่อ
4-5 ปีที่แล้วผมเห็นธุรกิจโบว์ลิ่งจะเข้ามาเมืองไทย ผมเลยบินไปดูที่ญี่ปุ่น
ผมเป็นคนหนึ่งที่ดูโบว์ลิ่งมา
เยอะที่สุดในโลกคนหนึ่งนะ แต่เป็นคนที่ไม่เล่นโบว์ลิ่งและไม่มีความรู้เรื่องโบว์ลิ่งเลย
แต่มองว่าภาพลักษณ์ของโบว์ลิ่งเดิมเป็นภาพลักษณ์ของคนกลุ่มเดียวเป็นกีฬา
แต่ผมมองว่าถ้าผมเอาโบว์ลิ่งเข้ามาในเอนเตอร์เทนเม้นท์คอม-เพล็กซ์ และทำภาพลักษณ์โบ์วลิ่งให้เป็นเอนเตอร์เทนเม้นท์ได้ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจผมก็เลยเร่งศึกษา"
วิชากล่าวถึงความคิดของเขาเกี่ยวกับธุรกิจโบว์ลิ่ง และอธิบายถึงจุดเด่นในทำเลตรงนี้ว่า
"เรามั่นใจในทำเลตรงนี้มากเพราะมีเอสซีบีปาร์ค มีคอนโดใหญ่ๆ ทั้งหมดคือกลุ่มลูกค้าเรา
ซึ่งเป็นทั้งทำเลที่อยู่อาศัย เป็นแหล่งสถาบันการศึกษาเช่น เกษตรศาสตร์ เซ็นต์จอห์น
จันทร์เกษม หอการค้า ซึ่งทำให้ร้านค้าเองก็เชื่อมั่นและเรื่องของคอมเพล็กซ์เอนเตอร์เทนเม้นท์
ก็เป็นเรื่องที่ขายได้ เป็นอะไรที่ใหม่ๆ ในตลาดที่ยังไม่มีคู่แข่ง"
การที่บริหารเองทั้งหมดอาจจะมีข้อดีตรงที่ว่า การทำแผนการตลาดในเรื่องต่างๆ
สามารถทำไปพร้อมๆ กับแผนของโรงภาพยนตร์ ซึ่งจะทำได้ง่ายรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อาจจะเป็นเพราะต้องการความคล่องตัวอย่าง นี้ก็เป็นได้ทำให้วิชามองว่าไม่จำเป็นจะต้องร่วมมือกับชาวต่างชาติในการทำธุรกิจโรงหนังในเมืองไทย
"ผมจะหุ้นกับใครสักคนต้องมีที่มาเช่นถ้าผมขาดเงิน เขามีเงิน มีแต่ฝีมืออย่างเดียวอย่างนี้หุ้นกันได้
แต่ถ้าผมมีความพร้อมทางด้านเงินทุน ทางด้านประสบการณ์ ผมต้องการเทคโนโลยี
ผมก็จะเอาเรื่องเทคโนโลยีอย่างเดียวอย่างเช่นการร่วมทุนที่เกิดขึ้นใน IMAX
เรื่องโรงหนังทั่วไปผมมองว่าฝรั่งไม่ได้ทำดีกว่าเราเลย เรื่องการเงินแบงก์พร้อม
ที่จะให้การสนับสนุนเราอยู่แล้ว เขาไม่ได้มองธุรกิจนี้ตรงหลักประกัน แต่เขามองกระแสเงินสดถ้าคุณมีกระแสเงินสดดีแบงก์ก็อยากจะให้มากกว่าธุรกิจที่มีหลักทรัพย์"
วิชาย้ำถึงจุดยืนในการทำธุรกิจของเขา ซึ่งนั่นก็หมายความว่าโอกาสที่จะเข้าไปร่วมทุนกับคนต่างชาติในลักษณะเดียวกับอีจีวีนั้นเขาไม่ได้คิด
ในเดือนพฤศจิกายน 2542 นี้ เมเจอร์ซินีเพล็กซ์จะเกิดแห่งที่ 4 ย่านรามคำแหง
ในพื้นที่ของเดอะมอลล์ 4 รามคำแหงซึ่งทำให้เมเจอร์ซินีเพล็กซ์ มีโรงหนังทั้งหมดถึง
14,500 ที่นั่ง และสิ้นปี 2000 เป้าหมายที่วางไว้ก็คือ จะต้องเปิดเมเจอร์ซินีเพล็กซ์แห่งต่อไปเพื่อให้ได้ที่นั่งทั้งหมด
2 หมื่นที่นั่ง
วิชามองว่าหัวใจของการแข่งขันทุกวันนี้อยู่ที่การสร้างชื่อของสินค้าให้ติดปากและแข่งกันในเรื่องการบริการ
เพราะเขาเชื่อว่าไม่ว่าเกิดระบบอะไรใหม่ๆ ขึ้นที่ฮอลลีวู้ดทุกค่ายในเมืองไทยรับได้ไวและเร็วอยู่แล้ว
"ตอนนี้คอนเซ็ปต์ของการดูภาพยนตร์ทั่วโลกคือ out home entertainment
หมายถึงออกไปหาประสบการณ์และไปเจอคน ไม่ใช่ไปดูหนังที่ไหนก็ได้ นั่นคือจุดที่เรามั่นใจในเอนเตอร์เทนเม้นท์
และมั่นใจว่าเมเจอร์ซินีเพล็กซ์จะอยู่ในใจคนมากที่สุด" วิชากล่าวย้ำกับ
"ผู้จัด การ" อย่างมั่นใจมากๆ
ทั้งวิชัยและวิชาอาจจะมีความมั่น ใจว่าต่างคนต่างครองความเป็นเจ้ายุทธจักรในธุรกิจโรงภาพยนตร
์และทิ้งห่างคู่แข่งออกไปทุกที จนกระทั่ง โครงการ SF cinema city เกิดขึ้นที่มาบุญครอง
เมื่อเดือนเมษายน 2542 ที่ผ่านมา
ทำเลตรงศูนย์การค้ามาบุญครอง เป็นแหล่งวัยรุ่นที่ยังคงคึกคัก ถึงแม้ว่าจะมีห้างใหม่ๆ
เกิดขึ้นมาอีกมากก็ตาม ยังเป็นจุดที่ถูกจ้องตาเป็นมันจากหลายค่ายใหญ่ๆ หลายเจ้า
การที่จู่ๆ ค่ายหนัง น้องใหม่ในกรุงเทพฯ เอสเอฟคว้าไปได้จึงเป็นเรื่องที่น่าจับตามองเช่นกัน
การปักธงชัยบนชั้น 7 ของห้างมาบุญครองเป็นการยึดพื้นที่ในเมืองกรุงครั้งแรกของสิงห์ภูธรค่ายนี้
แต่ไม่ใช่เรื่องใหม่เลยในการบริหารธุรกิจโรงภาพยนตร์เพราะเอสเอฟมีประสบการณ์
ทางด้านนี้มานานกว่า 30 ปีจากการทำธุรกิจโรงภาพยนตร์ในหัวเมืองสำคัญต่างจังหวัดในเขตตะวันออกเช่น
ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด โดยเริ่มต้นจากการเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายภาพยนตร์คุณภาพจากทุกค่าย
ต่อมาก็เป็นผู้สร้างโรงภาพยนตร์ ปัจจุบันมีโรงภาพยนตร์ทั้งหมดที่กำลังบริหารอยู่ในต่างจังหวัดประมาณ
40 กว่าโรง
สุวิทย์ ทองร่มโพธิ์ สิงห์หน้าหยกวัย 29 ปี คือกรรมการผู้จัดการ และผู้บริหารคนสำคัญของค่ายเอสเอฟที่ร่วมกับพี่ชายอีกคนคือสุวัฒน์
หลังการเสียชีวิตของสมานผู้เป็นบิดา
การเข้ามาประกาศศักดาครั้งแรกในกรุงเทพฯ ของค่ายนี้ไม่ธรรมดาตรงที่ว่าได้ใช้งบประมาณกว่า
600 ล้านบาท ปรับปรุงพื้นที่บนชั้น 7 ของมาบุญครองทั้งชั้น ซึ่งเดิมเป็นเอ็มบีเคฮอลล์
ในพื้นที่กว่า 20,000 ตารางเมตร ให้เป็น One Floor Entertainment ในรูปแบบอลัง
การบันเทิงเหนือจินตนาการที่โดดเด่นด้วยการตกแต่งในบรรยากาศห้วงจักร วาลตระการตา
มีโรงหนังทั้งหมด 6 โรง มีร้านค้าชั้นนำและ Shopping Street รวมทั้งความบันเทิงด้วยลานโบว์ลิ่ง
พร้อมกับการลงทุนติดตั้งระบบเสียงที่ดีที่สุดคือ Dolby Digital, Sdds,
DTS และระบบต่างๆ ตามมาตรฐาน THX, Surround EX ซึ่งนับเป็นความบันเทิงสมบูรณ์แบบที่สุดไม่แพ้รายอื่นๆ
เช่นกัน
จะว่าไปแล้วค่ายเอสเอฟได้ใช้รูปแบบของการทำธุรกิจโรงภาพยนตร์ของอีจีวี และเมเจอร์ซินีเพล็กซ์ผสม
ผสานอยู่ด้วยกันอย่างลงตัว
"คือเราคงไม่ทำโรงภาพยนตร์อย่างเดียว คอนเซ็ปต์ของโรงภาพยนตร์ สมัยใหม่
ทางโรงภาพยนตร์จะต้องบริ-หารพื้นที่เองทั้งหมดที่อยู่รอบๆ มีล็อบบี้ของเขาเอง
ซึ่งมันจะจัดสัดส่วนได้ดี ทำให้การจราจรของลูกค้าที่จะเดินขึ้นมาสะดวกกว่าเยอะ"
สุวิทย์กล่าวถึงจุดยืนของค่ายเอสเอฟ
และที่สำคัญนโยบายของเอสเอฟ ไม่ได้ยึดมั่นว่าจะต้องผูกติดไปกับศูนย์การค้าเพียงอย่างเดียวการเข้าไปทำธุรกิจโรงหนังที่มีตึกเป็นของตนเอง
เช่นเดียวกับเมเจอร์เป็นสิ่งที่เขาต้องการเช่นกัน
"แผนการที่เราจะลงทุนเป็นบิลดิ้ง ของตัวเองเราก็อยากทำแต่ขึ้นอยู่กับโลเกชั่น
และต้นทุนของการลงทุน ถ้าการลงทุนเริ่มจากการไปซื้อพื้นที่มา ผมว่าไม่คุ้มแน่
แต่ถ้าเราไปเจอทำเลดีๆ เจ้าของที่ดินต้องการร่วมลงทุนด้วย โอกาสยังงั้นก็ไม่แน่ว่าเราจะทำเองหรือเปล่าอาจจะมีความเป็นไปได้
ที่จะทำทั้ง 2 อย่างคือในศูนย์การค้าด้วยสร้างเองด้วย เราพร้อมบริหารพื้นที่เองอยูแล้ว"
สุวิทย์ย้ำแผนบุกเมืองกรุงอย่างชัดเจน
แต่ในอดีตที่ผ่านมาในต่างจังหวัด นั้นเอสเอฟได้เคลื่อนทัพไปพร้อมกับศูนย์การค้าใหญ่ที่เกิดขึ้น
ดังนั้นการที่ปัจจุบันธุรกิจศูนย์การค้าซบเซาลงก็เป็น สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ต้องบุกเมืองกรุง
ในมาบุญครองเอสเอฟเราทำสัญญาเช่าทั้งหมด 15 ปี เพราะทางมาบุญครองก็เหลือสัญญาเช่ากับทางทรัพย์สินจุฬา
15 ปีเช่นกัน สุวิทย์ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
"การทำธุรกิจนี้จุดคุ้มทุนของการทำค่อนข้างจะยาว ประมาณ 8-9 ปี แต่เราไม่ได้มองว่าเศรษฐกิจน่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งจะทำให้เราถึงจุดคุ้มทุนเร็วขึ้นแน่นอน"
สุวิทย์เป็นคนหนุ่มอีกคนหนึ่งที่เติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่ทำธุรกิจภาพยนตร์
และเขาต้องการสานต่อเจตนารมณ์ในการทำธุรกิจของตระกูล ความสนใจในเรื่องธุรกิจเอนเตอร์เทนของเขาถูกซึมลึกลงไปในวิญญาณเช่นเดียวกับวิชัยและวิชา
เพียงแต่ว่าเขากลับเลือกเรียนทางด้านกฎหมาย ซึ่งเป็นวิชาที่เขาชอบ และจบการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนที่จะมาช่วยธุรกิจครอบ ครัวอย่างจริงจัง และรับผิดชอบโครงการใหม่ของครอบครัวที่กรุงเทพฯ
โดยมีสุวัฒน์พี่ชายคนโตเป็นประธานบริษัท พงศ์ศักดิ์พี่ชายอีกคนรับผิดชอบทางด้านธุรกิจภาคตะวันออก
ความมั่นใจในศักยภาพของตนเองสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องกลุ่มนี้ โดยเฉพาะที่สำคัญพวกเขามีเสี่ยเจียงแห่งสหมงคลฟิล์ม
เสือเฒ่าอีกคนแห่งวงการธุรกิจภาพยนตร์เป็นที่ปรึกษาและ หุ้นส่วนคนสำคัญของค่ายเอสเอฟ
และศึกครั้งนี้ของเสี่ยเจียงเป็นอีกครั้งหนึ่งของการกลับมาเป็นเป็นคู่ค้าที่สำคัญ
ในวงจรธุรกิจเดียวกับของตระกูลพูลวรลักษณ์
เมื่อประมาณปี 2510 เสี่ยเจียงเองเคยไปทำธุรกิจภาพยนตร์ที่ตลาดพลูชื่อศรีนครธน
ติดกับโรงภาพยนตร์ศรีตลาดพลูของโกบราเดอร์และสู้กันอยู่ตรงนั้นนานพอสมควร
หลังจากนั้นค่ายหนังของสหมงคลฟิล์มก็เป็นคู่แข่งรายหนึ่งมาตลอดบนถนนสายนี้
แต่ดูราวเหมือนว่าค่อยๆ อ่อนแรงลงไป แต่ มาในปีนี้เอสเอฟที่มีเสี่ยเจียงเป็นพันธมิตร
ก็ได้มีโอกาสเป็นคู่แข่งที่สำคัญกับแกรนด์อีจีวีของวิชัยที่อยู่ห่างกันเพียงฟากถนนเท่านั้นเอง
และที่สำคัญในปี 2000 ค่ายเอสเอฟและพันธมิตรสำคัญคนนี้กำลังรุกคืบไปสร้างเอนเตอร์เทนเม้นท์
แห่งที่ 2 ในศูนย์การค้าเซ็นทรัล ในคอนเซ็ปต์เดียวกับที่มาบุญครอง โดยใช้พื้นกว่า
8,000 ตารางเมตร และคู่แข่ง ที่สำคัญก็คงหนีไม่พ้น เมเจอร์ รัชโยธิน นั่นเอง
ความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากการบริหารที่มาบุญครอง แม้ยังไม่ใช่บทสรุปของกลุ่มเอสเอฟแต่ก็เป็นบันไดสำคัญที่ทำให้กลุ่มนี้กล้าไต่บันไดสูงต่อไป
ซึ่งแน่นอนอาจจะยังไม่ใช่คู่แข่งที่น่ากลัวของพูลวรลักษณ์ทั้ง 2 แต่มันเป็นอะไรที่ทำให้วิชัยและวิชาต้องคอยหันกลับมามองเช่นกัน