ธอส.เตรียมระดมทุนก้อนใหญ่ 30,000 ล้านบาทในปีนี้ ทั้งจูงใจอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะ
1-2 ปี และออกพันธบัตร หลังยอดสินเชื่อไตรมาส แรกพุ่ง 20,960 ล้านบาท โตกว่าเป้า
ถึง 18% แต่เงินฝากลดถึง 10,000 ล้านบาท เดินหน้าเพิ่มเป้าสินเชื่อ 70,600 ล้านบาท
หวังรักษาอัตรากำไรทั้งปี ขณะที่กำไร3เดือนโตผิดปกติ 1,086 ล้านบาท คาดเป้าทั้งปีไม่ต่ำกว่า
3,000 ล้านบาท และวางเป้าลดเอ็นพีเอ 3,000 ล้านบาท
นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคาร สงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยถึงการบริหารสินเชื่อว่าในปี
2547 เป็นปีที่ไม่ปกติ ซึ่งในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคมจะเป็นช่วงการขยายสินเชื่อเติบโตช้าที่สุด
แต่จะไปเพิ่มอัตราเร่งในช่วงเดือนไตรมาสที่ 3 แต่จากข้อมูลของธอส.พบว่าตั้งแต่เดือนม.ค.-มี.ค.ปีนี้
ยอดการปล่อย สินเชื่อใหม่ของธอส.เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สาเหตุหลักมาจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ โครงการบ้านธอส. เพื่อข้าราชการสมาชิกกบข.รุ่นที่
2. โดยม.ค.เพิ่ม 5,100 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันอยู่ที่ 4,200 ล้านบาท, ก.พ.เพิ่มขึ้น
6,800 ล้านบาท จาก 3,900 ล้านบาท และมี.ค.เพิ่มขึ้น 8,900 ล้านบาทจาก 4,300 ล้านบาทและมีแนวโน้ม
ที่จะเพิ่มขึ้นต่อเดือนถึง 8,000-9,000 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ไตรมาสแรกของปีนี้
อัตราการปล่อยสินเชื่อใหม่อยู่ที่ 20,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ยอดสินเชื่ออยู่ที่
12,540 ล้านบาท และสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 17,676 ล้านบาท หรือขยายตัวเกินเป้า
18% ขณะที่สินเชื่อคงค้างในช่วง 3 เดือนเพิ่มขึ้นจากระดับ 33,796 ณ สิ้นปี 2546
เป็น 342,049 ล้านบาท หรือกว่า 10,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากการประเมินจะพบว่าธอส.มีความ สามารถในการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งผลดังกล่าวทำให้อัตรายอดเงินฝากได้ปรับลดลงจาก 290,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 46 มาคงเหลือ 286,000 ล้านบาทในช่วงไตรมาสแรก รวมถึงในปีนี้ธอส.ได้ปรับนโยบายการปล่อยสินเชื่อจาก 64,000 ล้านบาท เป็น 70,700 ล้านบาท เพื่อรักษาอัตรากำไร ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ส่งผลให้ต้องมีการระดมเงินฝากเพิ่มอีก 20,000-30,000 ล้านบาท เพื่อให้มีต้นทุนที่เหมาะกับการขยายสินเชื่อของธอส.
สำหรับวิธีจะมีหลายรูปแบบ คือ 1. การเพิ่ม อัตราดอกเบี้ยเพื่อจูงใจลูกค้ามาฝากเงิน
และ 2. การออกพันธบัตรในตลาดซึ่งมีต้นทุนที่ต่ำกว่าหากกู้เงินในตลาด ซึ่งแหล่งที่ของการปล่อยสินเชื่อจะมาจากเงินฝากสัดส่วน 80% และ 20% มาจากการกู้เงินของธนาคาร
"ในภาวะที่ราคาน้ำมันมีความผันผวน ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ และแนวโน้ม
ที่หลายฝ่ายคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับขึ้น ทำให้ธอส.ต้องรีบระดมเงินฝากเพื่อมาใช้ให้สอดคล้อง
กับสินเชื่อที่เสนอให้กับลูกค้า เช่น ธอส.อาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประเภท 1-2
ปี และศึกษาวิธีการออกพันธบัตร เพราะในใจผมหากได้ เงินก้อนใหญ่ที่อัตราดอกเบี้ยคงที่
2-4 ปีก็โอเค แต่ตรงนี้คิดว่าราคาคงแพงมากๆ อย่างไรก็ตาม ในการระดมเงินฝากต้องพิจารณาในเรื่องของความเสี่ยงเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยและสินเชื่อที่ธนาคารคงที่ไว้
ความสามารถในการเก็บดอกเบี้ย ให้ได้ และการบริหารทรัพย์สินรอการขายให้มีประสิทธิภาพ"
นายขรรค์กล่าว
ปัจจุบันสัดส่วนเงินฝากของธอส.จะอยู่ที่ 65% ของเงินฝากทั้งหมด และเป็นเงินฝากคงที่ประเภท
1 ปีประมาณ 180,000 ล้านบาท ประเภท 2 ปีอยู่ที่ 65,000 ล้านบาท ประเภทเงินฝาก 3
และ 6 เดือนอยู่ที่ 40,000 ล้านบาท เป็นส่วนของตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N) คิดเป็น
15% ของโครงสร้าง เงินฝาก และอีก 20% เป็นส่วนของเงินกู้และพันธบัตรที่กู้ยืมระยะสั้น
ซึ่งขณะนี้ธอส.มีพันธบัตรที่ยังไม่ครบกำหนดและมีอัตราดอกเบี้ย ที่สูงถึง 8% อยู่
โดยในปี 2547 จะมีการครบกำหนดประมาณ 15,000 ล้านบาท โดยจะมีการออกพันธบัตรใหม่เพื่อมารองรับพันธบัตรที่ครบกำหนด
กำไรพุ่ง 1,086 ล้านบาทยันทุกเดือนต้องไม่ต่ำกว่า 350 ล้านบาท
นายขรรค์กล่าวถึงผลประกอบการในไตรมาสแรกว่า ปัจจัยสำคัญมาจากการที่ธนาคาร ขยายสินเชื่อได้เพิ่มขึ้น
โดยส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ธนาคารมีกำไรในช่วง 3 เดือนแรกถึง
1,086 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกัน ของปีก่อนที่มียอดกำไร 747 ล้านบาท สูงขึ้น
399 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเพิ่ม 45.38% และจากการติดตามคาดว่ากำไรสุทธิจะยังเติบโตได้ดีต่อไป
และในแต่ละเดือนต้องรักษาอัตรากำไรให้ไม่ต่ำกว่า 300-350 ล้านบาท ซึ่งวิธีการบริหาร
ต้องควบคุมดอกเบี้ยรับและดูแลดอกเบี้ยจ่ายไม่ให้เพิ่มขึ้น การบริหารยอดกันสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ
และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
โดยในส่วนการบริหารหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ได้ว่าจ้างบริษัทหลักทรัพย์
(บล.) ฟาร์อีส จำกัด มาเป็นที่ปรึกษาในการจัดกลุ่มหนี้เอ็นพีแอลที่มีอยู่กว่า 40,000
ล้านบาท คาดว่าไม่เกิน 1 เดือนจะได้ข้อสรุปในการแก้ไข ณ สิ้นไตรมาสแรกมียอดหนี้เสีย
40,160 ล้านบาทคิดเป็น 11.74% ลดลงจากช่วงเดียวกันที่มียอดหนี้ 45,110 ล้านบาทหรือคิดเป็น
15.21% รวมถึงการบริหารทรัพย์สินรอการขาย (เอ็นพีเอ) จะมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงให้กับธนาคาร
ซึ่งใน3 เดือนแรกได้จำหน่ายทรัพย์ไปแล้ว 889 ล้านบาท คิดเป็นจำนวน 1,428 ราย ซึ่งต่ำกว่าช่วงเดียวกัน
ที่จำหน่ายได้ 1,016 ล้านบาท คิดเป็นจำนวนราย 1,199 ราย เนื่องจากทรัพย์ที่มีคุณภาพได้จำหน่าย
ไปก่อนหน้านี้ ส่วนที่เหลือจะเป็นทรัพย์ที่ต้องใช้เวลาในการจำหน่ายระยะหนึ่ง ซึ่งทางธนาคารได้ว่าจ้างบริษัทนายหน้าอสังหาริมทรัพย์
(โบรก-เกอร์)เข้ามาช่วยการขาย โดยได้ให้ทรัพย์จำนวน หนึ่งไปดำเนินการ โดยในปีนี้ได้ตั้งเป้าการขายเอ็นพีเอกว่า
3,000 ล้านบาท
เดินหน้าสินเชื่อนโยบาย
กรรมการผู้จัดการธอส.กล่าวถึงความคืบหน้าในการสนับสนุนสินเชื่อตามนโยบายของรัฐบาลที่สำคัญ
แบ่งเป็น โครงการบ้านธอส. เพื่อข้าราชการสมาชิกกบข.รุ่นที่ 2 ณ วันที่ 30 เม.ย.47
อนุมัติสินเชื่อแล้วจำนวน 35,159 รายเป็นเงิน 22,224.83 ล้านบาท ได้ทำนิติกรรมแล้ว
จำนวน 40,047 ราย เป็นเงิน 25,810.82 ล้านบาท และยังเหลือที่รอทำนิติกรรมประมาณ
15,000 กว่าราย คิดเป็นเงิน 10,000 ล้านบาท คาดหากรวมทั้งหมดแล้วจะปล่อยสินเชื่อได้
35,000 ล้านบาทโครงการบ้านเอื้ออาทร อนุมัติสินเชื่อไปแล้ว 1,007 ราย เป็นเงิน
316 ล้านบาท ทำนิติกรรมแล้ว 943 รายเป็นเงิน 296.37 ล้านบาท โครงการบ้านธอส.เพื่อคนไทย
อนุมัติสินเชื่อแล้ว จำนวน 17,600 ราย เป็นเงิน 10,617 ล้านบาท ทำนิติกรรมจำนวน
17,237 รายเป็นเงิน 10,422 ล้านบาท