จุลกร สิงห์โกวินท์ มืออาชีพตัวจริง


นิตยสารผู้จัดการ( พฤศจิกายน 2542)



กลับสู่หน้าหลัก

มืออาชีพตัวจริง ายหนุ่มผู้วางตัวเหมือนนายธนาคารยุโรปอย่างจุลกร สิงหโกวินท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารเอเชีย (BOA) กำลังได้รับการกล่าวขวัญอย่างสูงคนหนึ่งในฐานะผู้บริหารธนาคารมืออาชีพที่ผ่านมาหลายยุคหลายสมัย คล้ายๆ ชีวิตของ แม่พลอย นิยายเรื่อง สี่แผ่นดินของม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีความเฮงด้วยŽ เขาพูดทีเล่นทีจริง ในการอธิบายความเป็นมาของเขาเอง

จุลกร เป็นเด็กบ้านนอก เกิดเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2493 ที่ อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช บุตรชายคน เดียวของครอบครัว ที่บิดารับราชการ ส่วนมารดาทำธุรกิจทางด้านเหมืองแร่ และดีบุก และทำสวนยางพารา จึงมีฐานะที่เขาได้รับการสนับสนุนด้านการศึกษาอย่างดีมากคนหนึ่ง

จุลกร เติบโตและเรียนหนังสือชั้นประถมที่บ้านเกิดตัวเอง แต่เมื่อจะเรียนระดับชั้นมัธยมเขามุ่งหน้าลงใต้เพื่อเข้าศึกษาต่อในประเทศมาเลเซีย ยังไม่ทันสำเร็จการศึกษาระดับดังกล่าวถูกส่งไปเป็นนักเรียนประจำที่ประเทศอังกฤษ จากนั้นสอบเข้าเรียนระดับปริญญาตรี ที่ London School of Economics and Political Sciences และสำเร็จได้เกียรตินิยมสาขาเศรษฐศาสตร์

ชีวิตการทำงานของจุลกรเริ่มต้นที่ธนาคารกรุงเทพ (BBL) เมื่อปี 2517 เป็นจังหวะเหมาะเจาะทีเดียวที่ BBL กำลังปรับตัวครั้งสำคัญในการจัดโครงสร้างองค์กรให้ทันสมัย และการพัฒนาบุคลากรที่จะเข้ามาดูแลลูกค้า ที่กำลังขยายตัวไปต่างประเทศ โดยเฉพาะลูกค้าที่ทำให้ธนาคารแห่งนี้ยิ่งใหญ่ในเอเชีย คือบรรดา Overseas Chinese ที่เติบโต มาจากธุรกิจพืชไร่ ดังนั้น ความจำเป็นหาลูกคนจีนที่พูดภาษาอังกฤษได้เพื่อประกบติดลูกค้าสายดังกล่าว ไม่เว้นแม้แต่จุลกรนักเรียนนอกที่ไร้ประสบการณ์ในขณะนั้น

พนักงานฝ่ายอำนวยการสินเชื่อภายในประเทศ เป็นหน้าที่แรกของจุลกร ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ ปิติ สิทธิอำนวย และเป็นผู้ให้โอกาสเขาในการเข้ามาทำงาน แต่อยู่ได้เพียง 2 ปี จุลกรถูกส่งตัวไปทำงานที่สาขาฮ่องกงในตำแหน่งเดิม ความจริงแล้วเขาถูกเลือกให้เป็นผู้ช่วย โชติ โสภณพนิช ขณะนั้นดำรงดำรงตำแหน่งผู้จัดการภาคพื้นเอเชีย

ทำงานอยู่กับโชติ โสภณพนิช ได้ประมาณ 3 ปี จุลกรตัดสินใจเดินทางไปเรียนต่อระดับปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจที่ Wharton School of Finance มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย อเมริกา ในช่วงที่ศึกษาอยู่จุลกรยังเป็นพนักงานและรับเงินเดือนจาก BBL อยู่ ถือว่าได้รับการสนับสนุนจาก โชติ โสภณพนิช อย่างดี

หลังจากจบปริญญาโท จุลกรทำงานที่ BBL สาขานิวยอร์ก ขณะเดียว กันได้เข้าไปฝึกวิทยายุทธ์ที่วอลล์สตรีท อีกด้วย ต่อมาในปี 2522 กลับมาสำนัก งานใหญ่เข้ารับตำแหน่งหัวหน้าส่วน ฝ่าย วางแผนและควบคุมสาขาต่างประเทศ แต่อยู่ได้ไม่กี่เดือนถูกส่งไปเป็นผู้ช่วยผู้จัดการสาขาลอนดอน ปี 2524 กลับเข้ามารับตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายพัฒนา ธุรกิจการต่างประเทศ

เขาเติบโตในสายปฏิบัติการ 11 ปีของจุลกรคลุกคลีอยู่กับงานด้านสินเชื่อทั้งในและต่างประเทศ ตำแหน่งสุดท้าย คือ รองผู้จัดการสายกิจการต่างประเทศ (ภาคพื้นเอเชียและเอเชียตะวันออก) ผนวกกับพื้นฐานการศึกษาดีเพียงพอที่ยศ เอื้อชูเกียรติ กรรม การผู้จัดการใหญ่ธนาคารเอเชียในขณะนั้น จะต้องชักนำให้เข้ามาเริ่มต้นกับธนาคารเอเชียในปี 2528 ในตำแหน่งผู้อำนวยการสายการเงินและธุรกิจ

การเดินออกจากธนาคารขนาดใหญ่มายังธนาคารขนาดเล็กของจุลกร เป็นการลาจากด้วยดีไม่ได้มีปัญหากับใคร แต่เขามีเจตนาดีที่อยากเรียนรู้งาน ให้เร็ว เนื่องจากที่ BBL เป็นเวทีขนาด ใหญ่ การทำงานจึงเป็นไปในลักษณะ specialize ถ้าจะเรียนรู้ทั้งหมดแน่นอนว่า จุลกรต้องใช้เวลานานทีเดียว ขณะที่การเรียนรู้ในธนาคารที่เล็กลงมาน่าจะคล่องตัวมากกว่า ประกอบกับความต้องการอยากทำงานในเมืองไทย จุลกรจึงตัดสินใจมาสู่อ้อมอกธนาคารเอเชีย และเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด เพราะถ้าเขายังอยู่ที่ BBL คงจะไม่ได้ขึ้นถึงตำแหน่งสูงสุดเหมือนที่ธนาคาร เอเชียให้เขาในปัจจุบัน

จุลกรพิสูจน์ฝีมืออยู่ได้ 4 ปี ได้โปรโมตขึ้นเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านการตลาด ในปี 2532 และขึ้นเป็นรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ในปี 2534 จากนั้นภายในเวลาไม่ถึง 1 ปี ได้รับเลือก เป็นกรรมการบริหารธนาคารในตำแหน่ง กรรมการรองผู้จัดการใหญ่

ที่รวดเร็วไปกว่านั้นเห็นจะได้ แก่การที่คณะกรรมการบริหารต่างเห็นพ้องต้องกันตามข้อเสนอของ ยศ เอื้อ-ชูเกียรติ ที่จะให้จุลกรขึ้นดำรงตำแหน่งแทนเขา ซึ่งจะไปรับตำแหน่งรองประ-ธานกรรมการในกลางปี 2535 ท่ามกลาง ความขัดแย้งระหว่างตระกูลเอื้อชูเกียรติ และภัทรประสิทธิ์ รุนแรงมากขึ้น

แม้ว่าจุลกรจะเป็นคนที่ยศนำเข้ามา แต่เขาแสดงความเป็นมืออาชีพ ที่ยืนอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างผู้ถือหุ้นได้อย่างดี และนี่คือบุคลิกสำคัญของเขาที่ผลักดันให้เขาก้าวขึ้นอย่างรวดเร็ว

จุลกรสามารถอยู่ท่ามกลางความ ขัดแย้งระหว่างผู้ถือหุ้นได้ดีนั้น มาจากทีมงานที่เป็นปึกแผ่นของเขา

ต่อหน้าคนภายนอก เขาวางท่ามาดนายธนาคารมากทีเดียว แต่กับเพื่อนร่วมงานเขาสามารถเข้ากันได้กลม กลืน ไม่มีระบบขุนนางเช่นธนาคารอื่น อย่างหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว

ว่ากันว่าเขาเป็นนักประชาธิปไตย ในการบริหารมากคนหนึ่ง ซึ่งหายากในระบบธนาคารไทย


ลูกน้องเขาบางคนจะพยายามยกย่องความดีเด่นอย่างมาก แต่ในความเป็นจริงเกิดจากโครงการบริหารธนาคารที่ดีของธนาคารเอเชีย ที่สร้างมาตั้งแต่สมัย ยศ เอื้อชูเกียรติ นั่นเอง

ทีมบริหารของธนาคารเอเชีย เป็นคนรุ่นเดียวกันในทางความรู้และประสบการณ์ พวกเขามาสู่ธนาคารใหม่ในระยะใกล้เคียงกัน ความเป็นเพื่อนŽ การเคารพความคิดซึ่งกันและกัน ย่อม ทำให้โครงสร้างการบริหารดำเนินด้วยการถกเถียง แสดงความเห็น ความรู้กันอย่างมาก ซึ่งถือเป็นกระบวนทางธรรมชาติที่ว่า Knowledge Management ขององค์กรธุรกิจยุคใหม่ที่พูดกัน

จุลกรมีบทบาทผู้นำในการสรุปความคิดและตกผลึก กลั่นกรองความ คิดอย่างหลากหลายที่ถกเถียงกันอย่างมาก มาเป็นแนวทางการบริหารที่มีประสิทธิภาพต่อๆ ไป

จุลกรจึงกลายเป็นมืออาชีพที่ไม่ได้ก่อขึ้นจากตัวเขาเองล้วนๆ แต่เป็นอุบัติเหตุของการผสมผสานความรู้จากทีมงานของเขานั่นเอง

นี่คือ ความเฮงŽ แท้จริงที่เขากล่าวถึงความสำเร็จของเขา แม้ว่าผู้คนทั่วไปจะเข้าใจหรือไม่ก็ตาม



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.