ทีพีไอกำไรไตรมาสแรก 2,446.71 ล้านบาท เติบโตขึ้น 659% เนื่องจากมียอดขายเพิ่มขึ้น
1 หมื่นล้านบาท เป็นผลจากการขยายระดับการกลั่นน้ำมันมากขึ้น ด้านตลท.แขวน ป้าย
SP และ NP เหตุงบการเงิน ไตรมาส 1 ผู้สอบบัญชีไม่สามารถให้ความเชื่อมั่นได้ เพราะการเจรจา
แผนฟื้นฟูฉบับแก้ไขยังไม่มีข้อยุติและไม่มั่นใจเรื่องการจ่ายดอกเบี้ยตามแผน
รายงานข่าวตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย แจ้งว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯขึ้นเครื่องหมาย
SP (Suspension) เพื่อห้ามการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย
จำกัด (มหาชน) (ทีพีไอ)ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2547 เพื่อให้นักลงทุนทั่วไปมีเวลาพิจารณาความเห็นของ
ผู้สอบบัญชี หลังจากทีพีไอนำส่งงบ การเงิน สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2547 ฉบับที่ผ่านการสอบทานจาก
ผู้สอบบัญชีมายังตลาดหลักทรัพย์ โดยผู้สอบบัญชีไม่สามารถให้ความ เชื่อมั่นต่องบการเงินของบริษัท
ทำให้ตัวเลขผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัทที่ปรากฏในงบการเงินอาจไม่ได้แสดงค่าที่แท้จริงของกิจการ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์อาจสั่งการให้บริษัทแก้ไขงบการเงินได้
พร้อมกับการขึ้นเครื่องหมาย NP (Notice Pending) ตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2547
จนกว่าบริษัท จะนำส่งงบการเงินฉบับแก้ไข หรือจนกว่าจะได้ข้อสรุปว่าบริษัทไม่ต้องแก้ไขงบการเงินดังกล่าว
นายสุวิช นิวาตวงศ์ แทนผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย
จำกัด (มหาชน) (ทีพีไอ) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาสแรก ปี 2547 ว่า บริษัทและบริษัทย่อยมีผลกำไรสุทธิ
2,446.71 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีผลกำไรสุทธิรวม 322.53 ล้านบาท
เติบโตเพิ่มขึ้น 659% เนื่องจากบริษัทฯมีรายได้จากการขายรวม 31,934.82 ล้านบาท
เปรียบเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2546 จำนวนเงิน 21,835.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10,098.94
ล้านบาท คิดเป็น 46%
ขณะที่ต้นทุนขายเพิ่มขึ้น 7,499.64 ล้านบาท คิดเป็น 42% เนื่องจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น
อันเป็นผลมาจากบริษัทเพิ่มระดับการกลั่นน้ำมันขึ้น
เป็น 175,000 บาร์เรลต่อวันในไตรมาส 1 ปีปัจจุบัน จากเดิมที่ระดับ 99,700 บาร์เรลต่อวันในไตรมาส
1 ของปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ทีพีไอและบริษัทย่อย มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารสำหรับไตรมาส 1 ปี
ปัจจุบัน จำนวนเงิน 2,956.29 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมาซึ่งมีจำนวนเงิน
2,109.53 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 846.76 ล้านบาท หรือร้อยละ 40 ซึ่งเป็นผลมาจากค่าภาษีสรรพสามิตที่เพิ่มขึ้นจากปริมาณขายผลิตภัณฑ์น้ำมันใสในประเทศที่สูงขึ้น
ส่วนค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยสำหรับปีปัจจุบัน ลดลงจำนวน 296.82 ล้านบาท หรือคิดเป็น
16% เป็นผลมาจากต้นทุนอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงในไตรมาส 1 ของปีปัจจุบันเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา
นายสุวิช ชี้แจงเกี่ยวกับความเห็นของผู้สอบ บัญชีว่า ทางผู้สอบบัญชีไม่มั่นใจในความสำเร็จของแผนฟื้นฟูกิจการบริษัทฉบับที่ปรับปรุงใหม่ซึ่งปัจจุบันการเจรจากับเจ้าหนี้ในสาระสำคัญเกี่ยว
กับแผนปรับโครงสร้างหนี้ฉบับใหม่ยังไม่มีข้อยุติ ซึ่งคณะผู้บริหารแผน คาดว่าจะสามารถเสนอแผนฟื้นฟูกิจการดังกล่าวข้างต้นให้คณะกรรมการ
เจ้าหนี้ได้พิจารณาออกเสียงให้ความเห็นชอบอย่างเป็นทางการก่อนเสนอให้ศาลล้มละลายกลางพิจารณาได้ในเร็ววันนี้
นอกจากนี้ ผู้สอบบัญชีไม่มั่นใจในการจ่าย ดอกเบี้ยตามแผน เนื่องจากในปัจจุบันนี้การจ่าย
ดอกเบี้ยของบริษัทไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัท อย่างไรก็ดี
คณะกรรมการเจ้าหนี้และผู้บริหารแผนได้ตกลงร่วมกันและยอมรับการเปลี่ยนแปลงวิธีการชำระดอกเบี้ยจากรายเดือนเป็นรายไตรมาส
ทั้งนี้เพื่อ เป็นการสนับสนุนบริษัทในการบริหารสภาพคล่อง
ตลท.แขวน SP 3 บจ.
นอกจากนี้ ทางตลาดหลักทรัพย์ฯได้ขึ้นเครื่องหมาย SP ในหุ้น 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท
บางกอกรับเบอร์ จำกัด (มหาชน) (BRC) บริษัท ไทยเอนจิน เมนูแฟ็คเจอริ่ง จำกัด (มหาชน)
(TEM) บริษัท เอ็ม ดี เอ็กซ์ จำกัด (มหาชน) (MDX) เนื่องจากทั้ง 3 บริษัท ได้นำส่งงบการเงิน
สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2547 ฉบับที่ผ่านการสอบจากทางผู้สอบบัญชีมายัง ตลท.โดยผู้สอบบัญชีไม่สามารถให้ความเชื่อมั่นต่องบการเงินของ
บริษัท ทำให้ตัวเลขผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัทที่ปรากฏในงบการเงินอาจไม่ได้
แสดงค่าที่แท้จริงของกิจการ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ก.ล.ต.)อาจสั่งการให้บริษัทแก้ไขงบการเงินได้