กลุ่ม "เคพีเอ็น" ผุดโครงการใหม่ออกมาเป็นล็อต โดยเฉพาะโปรเจกต์พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รูปแบบใหม่ครั้งแรกในไทยแถบหัวหิน มูลค่ากว่า 600 ล้านบาท มุ่งเจาะกลุ่มเศรษฐีไทยแบบไม่หวั่นสภาวะชะลอตัวของตลาด
พร้อมเดินหน้าปรับโครง สร้างกลุ่มธุรกิจยานยนต์รวมเข้าด้วยกัน ดันเข้าระดมทุนในตลท.
ช่วงไตรมาสสามเพื่อขยายธุรกิจ และกว้านซื้อกิจการเกี่ยวเนื่อง มั่นใจสิ้นปีมีรายได้รวมโตทะลุ
25% จากปีที่แล้วทำได้กว่า 6,300 ล้านบาท
นายกฤษณ์ ณรงค์เดช ซีอีโอ เคพีเอ็น กรุ๊ป เปิดเผยถึงทิศทางและนโยบายของกลุ่มเคพีเอ็น
กับ "ผู้จัดการรายวัน" ว่า หลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ กลุ่มเคพีเอ็นได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจของกลุ่มใหม่
โดยปัจจุบันมีทั้งหมด 13 บริษัท แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจยานยนต์,
กลุ่มธุรกิจการค้า, กลุ่มธุรกิจขนส่ง, กลุ่มธุรกิจดนตรี และกลุ่มธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์
โดยในปีที่ผ่านมามีรายได้รวมกว่า 6,300 ล้านบาท
"สำหรับทิศทางการลงทุนในปีนี้ อสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจหนึ่งที่เคพีเอ็นให้สนใจอย่างมาก
โดยประมาณช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ กลุ่มเคพีเอ็นจะมีการ เปิดตัวโครงการใหม่แถบหัวหิน
มูลค่าโครงการกว่า 600 ล้านบาท ไม่รวมราคาที่ดิน ซึ่งเป็นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รูปแบบใหม่ครั้งแรกในไทย
ที่เชื่อว่าจะสร้างความฮือฮาเช่นเดียวกับคอนโดมิเนียม หรูที่สุขุมวิทอีกครั้ง"
นายกฤษณ์กล่าว
ส่วนการที่กลุ่มเคพีเอ็นกล้าลงทุน พัฒนาอสัง-หาริมทรัพย์อย่างเต็มรูปแบบ แม้ช่วงนี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะอยู่ในสภาวะลดความร้อนแรงลงมาก
เมื่อเทียบกับช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้พัฒนาธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์หลายรายชะลอการลงทุนเพิ่ม
แต่จากนโยบายของเคพีเอ็นที่จับกลุ่มเป้าหมายลูกค้าระดับ A+ ซึ่งการตัดสินใจซื้อขึ้นอยู่กับความพอใจเป็นหลัก
จึงเชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับอย่างดี พิสูจน์ได้จากการที่แม้จะยังไม่เปิดโครงการ
แต่มีผู้สนใจจองบ้านในโครงการนี้แล้วหลายยูนิต
ประกอบกับความสำเร็จจากโครงการ "The Cadogan" บูติกคอนโดมีเนียมหรูกลางใจเมือง
ซอยสุขุมวิท 39 บนพื้นที่ 400 ตารางวา มูลค่าโครงการ 320 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น
12-31 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นราคาที่สูงมากเมื่อเทียบกับราคาต่อตารางเมตรในพื้นที่เดียวกัน
กลับปรากฏว่าได้รับการตอบรับสูงมาก ขายหมดภายใน 7 สัปดาห์ แสดงให้เห็นถึงความ เชื่อมั่นของลูกค้า
และทำให้เคพีเอ็นกล้าที่จะลงทุนในโครงการใหม่ต่อเนื่อง
นายกฤษณ์กล่าวต่อว่า ในส่วนของธุรกิจอื่นๆ ของกลุ่มเคพีเอ็น ต่างก็มีแนวโน้มในการขยายตัวที่ดี
โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ที่มีทิศทางการเติบโตตามสภาพของตลาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้มั่นใจว่าธุรกิจยานยนต์ของกลุ่มเคพีเอ็นปีนี้
จะมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% จากสัดส่วนรายได้ทั้งหมดของกลุ่มกว่า 30%
"เหตุนี้เคพีเอ็นจึงได้มีการปรับโครงสร้างในกลุ่มธุรกิจยานยนต์ ด้วยการรวมบริษัทที่เกี่ยวเนื่อง
กัน 2-3 บริษัท มาอยู่ภายใต้บริษัท เคพีเอ็น ออโตโมทีฟ จำกัด เพื่อเข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์
แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งคาดว่าจะเปิดขายแก่ประชาชนทั่วไปได้ ในช่วงไตรมาสที่สามของปีนี้"
นาย กฤษณ์กล่าว
ส่วนสาเหตุที่ทำให้เคพีเอ็นต้องเข้าตลท. ส่วนหนึ่งนอกจากรองรับการขยายธุรกิจที่มีอยู่แล้ว
ยังสน ใจที่จะนำเงินจากการระดมทุนครั้งนี้ ไปซื้อกิจการบริษัทชิ้นส่วนยานยนต์ที่มีแนวโน้มที่ดี
ทั้งในรูปแบบ ของการร่วมทุน หรือเทกโอเวอร์ ซึ่งจะเป็นการขยาย ธุรกิจอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ของกลุ่มเคพีเอ็น
อีกวิธีหนึ่ง
ขณะที่กลุ่มธุรกิจขนส่งก็มีการเติบโตสูงตามสภาวะเศรษฐกิจ และการปรับตัวของธุรกิจในยุคใหม่ที่หันมาใช้บริการขนส่งมากขึ้น
โดยในกลุ่มนี้กำลังเตรียมจะมีการขยายธุรกิจออกไปอีกในเร็วๆ นี้เช่นเดียวกับกลุ่มธุรกิจดนตรีที่จะมีโปรเจกต์ใหม่ออก
มา ด้วยการไปจับมือกับพันธมิตรยักษ์ใหญ่ ซึ่งขอ ปิดไว้ก่อนแต่เมื่อเปิดเผยออกมาแล้วจะทำให้วงการฮือฮาเช่นกัน
นายกฤษณ์กล่าวว่า ส่วน "เคพีเอ็น พลัส" ซึ่งเป็นร้านจำหน่ายอะไหล่รถจักรยานยนต์ทุกยี่ห้อ
ในระบบแฟรนไชส์รูปแบบใหม่ครั้งแรกในไทย หลังจากเพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่กี่เดือน ขณะนี้มีการเซ็นสัญญาไปแล้วกว่า
60 ราย ซึ่งปีนี้ตั้งเป้าไว้ประมาณ 100 ราย หรือมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท
โดยคาดว่าในปี 2006 เมื่อดำเนินการเปิดร้านได้เต็มรูปแบบ จะมีรายได้มากถึง 1,000
ล้านบาท
"ผลจากการรุกธุรกิจมากขึ้น ทำให้คาดว่าปีนี้กลุ่มเคพีเอ็นจะมีผลประกอบการเป็นกำไรต่อเนื่อง
หรือมีรายได้รวมเติบโต 20-25% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งทำได้ทั้งสิ้นกว่า 6,300
ล้านบาท โดยสัดส่วนราย ได้มากที่สุดมาจากกลุ่มธุรกิจยานยนต์ประมาณ 30-40% รองลงมาจะเป็นกลุ่มธุรกิจการค้าและธุรกิจขน
ส่ง อย่างละประมาณ 20% ที่เหลือจะมาจากกลุ่มธุรกิจ ดนตรีและอสังหาริมทรัพย์"
นายกฤษณ์กล่าว