บิ๊ก "อะโรเมติกส์" ยืนยันไม่กระทบจากการลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจจีน
เนื่องจากจีนยังคงเป็นประเทศนำเข้าปิโตรเคมีอยู่ มั่นใจสิ้นปีนี้ทำกำไรได้ 5-6
พันล้านบาท หลังจากรับรู้รายได้ ส่วนขยายกำลังการผลิตระยะ 2 ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นขยับเพิ่มเป็น
40-50%
นายอธิคม เติบศิริ รองผู้จัดการใหญ่แผนธุรกิจและการเงิน บริษัท อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย)
จำกัด (มหาชน)(ATC) เปิดเผยว่า บริษัทฯไม่ได้รับผลกระทบจากกรณี ที่จีนลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ
โดยราคาผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ยังอยู่ในระดับราคาสูง อาทิ พาราไซลีนตันละ 750 เหรียญสหรัฐ
และเบนซิน 600 เหรียญสหรัฐ ขณะที่ราคาอะโรเมติกส์ในปีที่แล้วเฉลี่ยตันละ 500 เหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้ บริษัทฯไม่ได้ส่งออกพาราไซลีนไปยังประเทศจีน คงมีแค่การส่งออกสารเบนซีนไปยังประเทศในแถบเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้ คือ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย รวมทั้งบริษัทฯยังมีรายได้ เพิ่มสูงขึ้นจากการขยายกำลังการผลิตระยะ
2 ทำให้ปริมาณพาราไซลีนและเบนซีนเพิ่มขึ้นอีก 30% นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ดังนั้น เป้าหมายปีนี้บริษัทฯจะมีกำไรก่อนหักค่าเสื่อม ภาษี และดอกเบี้ยจ่าย
(EBITDA) ประมาณ 7,000 ล้านบาท และกำไรสุทธิสูงถึง 5,000-6,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ
4,004 ล้านบาท ทั้งนี้เนื่องจากบริษัทฯมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 40-50%
นายอธิคม กล่าวถึงโครงการ ร่วมทุนผลิตสารฟีนอลขนาดกำลังการผลิต 2 แสนตันต่อปี
ใช้เงินลงทุน 8,000 ล้านบาท โครงการนี้เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ เบนซีนของบริษัท
ซึ่งแหล่งเงินลงทุนที่ใช้จำนวน 800 ล้านบาทตามสัดส่วนการถือหุ้น 20% นั้นจะ มาจากกระแสเงินสดภายในบริษัทเอง
สำหรับผลตอบแทนการลงทุนโครงการฯ ประมาณ 18% และมีระยะเวลาคืนทุนประมาณ 5 ปี และเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ประมาณไตรมาสที่
2 ปี 2550
ขณะที่โครงการผลิตไซโคลเฮกเซน (cyclohexane) ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องสายไนลอน
เพื่อทดแทนการ นำเข้านั้น ขณะนี้เตรียมเสนอให้บริษัทผู้รับเหมายื่นเข้าประมูลโครงการดังกล่าว
คาดว่าจะแล้วเสร็จในต้นปี 2550 ถือว่าเป็นโครงการที่สร้างมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์และสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ
โครงการฯดังกล่าว ใช้เงินลงทุนไม่เกิน 1,200 ล้านบาท มีกำลังการผลิตสารไซโคลเฮกเซน
150,000 ตันต่อปี ใช้สารเบนซีนที่ต้องส่งออก ประมาณ 140,000 ตันต่อปี และใช้ไฮโดรเจนที่ปัจจุบันใช้เป็นเชื้อเพลิงในกระบวนการผลิตประมาณ
36,000 ตันต่อปี มีผลตอบแทนการลงทุน (IRR) สูงกว่า 25% โดยประเมินว่าบริษัทฯ จะมีประมาณการกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากโครงการดังกล่าวประมาณ
ปีละ 400 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่ากรณีที่จีนลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ
ส่งผลกระทบไม่มากต่อราคาปิโตรเคมี เนื่องจากจีนเป็นผู้นำเข้าสินค้าปิโตรเคมี รายใหญ่สุดในภูมิภาค
เพราะประสบกับภาวะขาดแคลนสินค้าปิโตรเคมีอยู่มาก ทำให้ความต้องการใช้สูงกว่ากำลังการผลิต
แม้ว่าจะมีการสร้างโรงงานปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการ จนทำให้ต้องนำเข้าต่อไปอีกอย่างน้อย
2-3 ปีเป็นอย่างต่ำ
อีกทั้งราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่พุ่งขึ้น ก็เป็นปัจจัยหลักที่ช่วยผลักดันให้ราคาปิโตรเคมี
สามารถจะขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อีกครั้งหลังจากความกังวลในเรื่องของจีนจางหายไป
โดยกลไกราคาปิโตรเคมีจะอิงกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมากกว่าคำสั่งซื้อจากจีน
เราได้สอบถามทางผู้บริหารของบริษัทในกลุ่มปิโตรเคมีเกี่ยวกับมาตราการของจีน ซึ่งส่วน
ใหญ่มีความเห็นว่าเป็นกลยุทธ์ในการชะลอราคา ปิโตรเคมีของจีน ซึ่งเกิดขึ้นเป็นปกติในกรณีที่ราคาปิโตรเคมีปรับตัวสูงขึ้นมาก
เนื่องจากจีนเป็นผู้นำเข้าสินค้าปิโตรเคมีรายใหญ่จึงมีอำนาจในการต่อรองค่อนข้างมาก
แต่อย่างไรก็ตาม ในภาวะปัจจุบันที่จีนมีความต้องการสินค้าปิโตรเคมี สูงกว่ากำลังการผลิตมาก
ทำให้คาดว่าราคาไม่น่า จะลงมากและที่สุดแล้วราคาปิโตรเคมีจะปรับตัวสูงขึ้น
บริษัทหลักทรัพย์ ยูไนเต็ด จำกัด (มหาชน) ออกบทวิเคราะห์คาดผลดำเนินงานปีนี้
ATC จะมียอดขายทั้งสิ้น 41,177 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิ 6,205 ล้านบาท เพิ่มขึ้น
55%เนื่องจากมีมาร์จินเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 124 เหรียญสหรัฐต่อตัน คาดว่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลงวดปี
2547 ได้ เพราะบริษัทสามารถล้างขาดทุนสะสมได้หมดภายในปีนี้ รวมทั้งบริษัทฯยังมีโครงการสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลิตภัณฑ์ด้วยการผลิตไซโคลเฮกเซน
และฟีนอล คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 2550 ดังนั้น จึงแนะนำให้ซื้อสะสมหุ้น โดยราคา
เหมาะสมที่ 60 บาท