ซิโนไทยกำไรหดเจอพิษเหล็กแพงเร่งหางานเพิ่ม


ผู้จัดการรายวัน(11 พฤษภาคม 2547)



กลับสู่หน้าหลัก

บิ๊กซิโน-ไทย ระบุปีนี้โอกาสทำกำไรลดลง 62 ล้านบาท หลังเจอพิษเหล็กแพงขึ้น ผลตอบแทนต่อ 1 โครงการลดจาก 12% เหลือ 8% เร่งหางานในมือเฉลี่ยต้องให้ได้ 1,000 ล้านบาทต่อเดือน เพื่อยอดรวมทั้งปี 12,000 ล้านบาทตามศักยภาพของบริษัทฯ ฟุ้ง D/E ต่ำแค่ 0.2% ก่อหนี้ได้อีก 5,000 ล้านบาท

นายอนุทิน ชาญวีรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) STECON เปิดเผยว่าจากสถานการณ์ราคาเหล็กที่แพงขึ้น ได้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนในการก่อสร้างโครงการต่างๆ ที่บริษัทดำเนินการอยู่ ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจของประเทศจีนมีการขยายตัวสูง ทำให้ประเทศจีนมีความต้องการวัตถุดิบเพื่อใช้ในการ ก่อสร้างโครงการต่างๆ ซึ่งผลกระทบดังกล่าวจะทำให้ผลตอบแทน จากโครงการมีอัตรากำไรลดลง จากเดิมที่อัตรากำไรเฉลี่ยต่อ 1 โครงการจะอยู่ที่ 12% แต่การที่ราคาเหล็กแพงขึ้น ทำให้บริษัทมีต้นทุนเพิ่มขึ้นส่งผลให้อัตรากำไรลดลงเหลือ 8% ต่อโครงการ จากที่เคยทำได้ 12% ต่อโครงการ และคาดว่าตลอดทั้งปีบริษัทมีโอกาสที่จะทำกำไรลดลงอยู่ที่ระดับ 7% ซึ่งทั้งปี 2546 บริษัทมีกำไรสุทธิ 604 ล้านบาท

ขณะที่ผลประกอบการในไตรมาสแรกของปี 2547 เป็นที่แน่นอนแล้วกำไรจะลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546 ที่มีกำไร 122 ล้านบาท แม้จะมีผลประกอบการลดลง แต่ยังไม่ต่ำกว่าเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้

"ถ้าเหล็กไม่แพงมากขณะนี้บริษัทมีโอกาส ที่จะทำกำไรแล้ว 1,000 ล้านบาท แต่เราโชคไม่ดีที่เจอเหล็กแพง ขณะที่เรามุ่งโครงการรัฐและแต่ละโครงการต้องใช้งบประมาณของรัฐซึ่งจะมีการพิจารณามาปีก่อนแล้ว อีกทั้งไม่ใช่เหล็กที่ขึ้น ปูนซีเมนต์ก็ขึ้น ผลทำให้ต้นทุนเฉลี่ยทั้งปีเพิ่มขึ้น 300-400 ล้านบาท การเคลื่อนไหวของราคาเหล็ก ขึ้นและลง 1 บาทจะมีผลต่อต้นทุนถึง 100 ล้านบาท แต่ทั้งนี้เราหวังว่าเศรษฐกิจจีนจะหยุดขยายตัวอย่างร้อนแรง ซึ่งต้องรอดูไตรมาส 3 ว่าเศรษฐกิจจีนชะลอจริงหรือไม่ เพราะนี่พึ่งผ่านมาได้แค่ 3-5 เดือน" นายอนุทินกล่าว

สำหรับความคืบหน้าในการรับงานก่อสร้าง นายอนุทินกล่าวว่าในช่วง 5 เดือน(ม.ค.-พ.ค.47) บริษัทมีงานในมือที่ชนะราคาแล้วมีมูลค่าถึง 5,000 ล้านบาท เฉลี่ยแล้วในแต่ละเดือนบริษัทต้องชนะการประมูล เพื่อให้ได้งานเฉลี่ย 1,000 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งถ้าเป็นไปตามเป้าคาดว่าทั้งปีบริษัทจะมีงานในมือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 12,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่เพียงพอในการบริหารธุรกิจในแต่ละปี

นอกจากนี้ บริษัทยังสนใจที่จะเข้าไปประมูลงานก่อสร้างของภาครัฐ และรวมถึงโครงการที่กรุงเทพฯกำลังดำเนินการ เช่น ส่วนต่อขยายของโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอส, โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำต่างๆ, ทางหลวงและรวมถึงระบบชลประทาน ทั้งนี้ในปี 2547 รัฐบาลมีแผนลงทุนเพื่อพัฒนาระบบสาธารณูปโภคถึง 6 แสนล้านบาท แต่มีโครงการที่บริษัทให้ความสนใจเข้าไปประมูลประมาณ 36,000 ล้านบาท และจากสถิติในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถชนะการประมูลในโครงการของรัฐบาลได้ 1 ใน 3 หรือคิดเป็นมูลค่าที่มีงานในมือคิดเป็นมูลค่า 12,000 ล้านบาทซึ่งเป็นระดับที่เพียงพอกับธุรกิจ และขนาดของบุคลากรที่มีอยู่

นายอนุทิน ล่าวว่าปัจจุบันบริษัทมีโครงการ ที่อยู่ในมือ 20,000 ล้านบาท โดยในปี 2547 จะมีการส่งมอบงานคิดเป็นมูลค่า 12,000 ล้านบาท ทำให้เหลืองานในมือที่ต้องดำเนินการต่อ 8,000-10,000 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้จะมีการส่งมอบงานในปี 2548

ตามข้อมูลของบริษัทระบุว่าในช่วงปี 2546 มีงานในมือคิดเป็นมูลค่า 16,539 ล้านบาท และหากนับรวมงานที่เสนอราคาต่ำสุดอีกประมาณ 5,500 ล้านบาท จะมีงานในมือรวมประมาณ 22,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะเป็นงานของภาครัฐคิดเป็นสัดส่วนถึง 85% ของงานในมือทั้งหมด โดยในการประมูลงานพบว่าในปี 2545 บริษัทชนะการประมูล 27% และเพิ่มขึ้นเป็น 34% ในปี 2546 ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง จำกัด (มหาชน) วิเคราะห์ว่าในปี 2547 บริษัทจะชนะการประมูลประมาณ 25% ของงานที่ยื่นประมูลในปีนี้ หรือคิดเป็นมูลค่า 9,000 ล้านบาท

ล่าสุดบริษัทฯได้เซ็นสัญญากับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) หลังจากที่คณะกรรมททท.ได้จัดจ้างบริษัท ซิโน-ไทยฯเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างอาคารกรีฑาในร่ม ที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี เพื่อรองรับการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนอินดอร์เกมส์ ครั้งที่ 1 ในปี 2548 มูลค่าการก่อสร้างจำนวน 472,500,000 บาท ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้าง 450 วัน มีระยะเวลาในการก่อสร้าง 15 งวดงาน คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณเดือนกรกฎาคม 2548 ซึ่งสามารถ บรรจุที่นั่งได้ถึง 4,000 ที่

นายอนุทิน กล่าวถึงฐานะการเงินว่า ปัจจุบันบริษัทมีหนี้ต่อทุน ( D/E )ประมาณ 0.2 เท่า และบริษัทยังมีความสามารถในการก่อหนี้ได้อีก 5,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้หนี้สินต่อทุนปรับขึ้นมาอยู่ระดับ 1 เท่า ซึ่งหนี้ส่วนใหญ่ของบริษัทฯจะเป็นหุ้นกู้ที่ออกเมื่อปีที่แล้วประมาณ 500 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเพียง 4% ต่อปี และมีกำหนดชำระคืนเงินต้นภายใน 4 ปีตั้งแต่ปี 2548 ขณะที่บริษัทมีกระแสเงินสดมากกว่าหนี้สินอยู่ถึง 820 ล้านบาท

ส่วนการถอนการร่วมทุนในบริษัท ออโตเครป แอเรทเต็ด คอนกรีต โปรดัก จำกัด หรือ AACP นายอนุทินกล่าวว่า "เราตัดสินใจแล้วส่วนนี้ไม่ใช่ธุรกิจหลักของเรา และมองว่าการเป็นผู้ซื้อจะดีกว่าการเป็นหุ้นส่วน"



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.