SCCC ออกโรงแจงไม่ได้ปิดบังข้อมูลเหตุระเบิด ยืนยันเหตุระเบิดโรงงานแห่งที่ 2
ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน เพราะได้ย้ายฐานการผลิตไปโรงงานแห่งที่ 3 ที่กำลังการผลิต
ยังไม่เต็มกำลัง มั่นใจปูนซีเมนต์ ที่เก็บในสต๊อกเพียงพอต่อการจำหน่ายให้กับลูกค้า
ปีนี้ยังตั้งเป้าการเติบโตไว้ไม่ต่ำกว่า 10%
นางจันทนา สุขุมานนท์ รองประธานอาวุโส สายการตลาดและการขาย บริษัท ปูน ซีเมนต์นครหลวง
จำกัด(มหาชน) (SCCC) เปิดเผยถึงเหตุการณ์ที่เกิดระเบิดที่โรงงานปูนซีเมนต์แห่งที่
2 จังหวัดสระบุรีว่า เหตุ การณ์ดังกล่าว ขณะนี้อยู่ในระหว่างการสอบสวนของตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และตามที่มีกระแสข่าวออกมาว่า บริษัทปิดบังข้อมูลในการสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น
ไม่เป็นความจริง เพราะแท้จริงแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ข้อมูลที่บริษัทที่เปิดเผยกับตำรวจ
คือในวันเกิดเหตุ ได้มีบริษัทรับเหมาขออนุญาต เพื่อที่จะเข้าไปเชื่อมเตาเก็บหัวเชื้อเพลิง
โดยการเข้าไปโรงงานไม่ได้รับอนุญาตจากบริษัทแต่อย่างใด ซึ่งเกี่ยวกับเหตุที่เกิดขึ้นขณะนี้อยู่ในระหว่างการสอบสวนคาดว่าจะได้ข้อสรุปในสัปดาห์นี้
นางจันทนากล่าวว่า เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นในโรงงานผลิตปูนซีเมนต์แห่งที่ 2 ของบริษัท
ได้ประเมินความเสียหายเบื้องต้นที่ประมาณ 50-60 ล้านบาทเท่านั้น ขณะที่ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์บริษัทรับผิดชอบด้วยการเป็นเจ้าภาพในงานศพ
แม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นอันเป็นผลมาจากบริษัทก็ตาม
อย่างไรก็ตาม เหตุดังกล่าว ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทแต่อย่างใด
เนื่องจากขณะนี้มีการเคลื่อนย้ายการผลิตไปยังโรงงานที่ 3 แทน เพราะกำลังการผลิตในโรงงานที่
3 ยังผลิตไม่เต็มกำลังการผลิต จึงสามารถเดินเครื่องผลิตได้อีก และขณะนี้โรงงานแห่งที่
2 เดินเครื่องผลิตบางส่วนได้แล้วในวานนี้
ปัจจุบัน SCCC มีกำลังการผลิตเต็มกำลังที่ 12 ล้านตัน แต่บริษัทเดินเครื่องผลิตแค่เพียง
9 ล้านตันเท่านั้น และบริษัทยังมีปูนซีเมนต์ที่เก็บไว้ในสต๊อกอีก บางส่วน ซึ่งสามารถส่งขายให้กับ
ลูกค้าได้เพียงพอกับความต้องการ
สำหรับในปีนี้ การเติบโตของภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ 10% ซึ่งการเติบโตของบริษัทเป็นไปตามการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์
ที่ต้องใช้ปูนซีเมนต์ในการ ประกอบการ และความต้องการ ของบริษัทคือ ต้องการเติบโตให้ได้ที่
10-12% แต่การเพิ่มขึ้นของ ราคาเหล็ก ได้ส่งผลต่อการขายปูนซีเมนต์ของบริษัท เพราะเมื่อราคาราคาเหล็กเพิ่มขึ้น
ทำให้ความต้องการใช้ลดลง ส่งผลต่อ ดำเนินงานของบริษัทที่ผู้บริโภคก็ชะลอการใช้จ่าย
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทไตรมาสแรกปี 47 เทียบกับไตรมาสแรกปี 46 จะพบว่าไตรมาสแรกปี
46 มียอดขายที่ 1.75 ล้านตัน ขณะที่ไตรมาสแรกปีนี้ยอดขายที่ 1.93 ล้านตัน ซึ่งจะพบว่าความต้องการ
ใช้ปูนซีเมนต์เพิ่มสูงขึ้น 17% โดยการเติบโตของบริษัทเติบโตตามอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์