หากชีวิตของผู้เป็น "พ่อ" สนุกสนาน หลากหลายรสชาติ เหมือนนวนิยาย เรื่องราวของคนเป็น
"ลูก" ก็เป็นนิยายภาค 2 ที่มีเนื้อหาเข้มข้นไม่แพ้กัน
บ่ายวันหนึ่งบนชั้น 4 ของบริษัทถนัดศรี แอนด์ ซัน หมึกแดงเล่าเรื่องราวในชีวิตให้ฟัง
ด้วย ท่าทีที่ผ่อนคลายและเป็นกันเองมากขึ้น หลังจากพบหน้า "ผู้จัดการ" ในช่วงตามเก็บภาพและติด
ตามดูการทำงานหลายครั้ง
เสื้อฮาวายสีสด กางเกงขาสั้นสีกากี ผมตัดสั้น ทำไฮไลต์สีทอง และหน้าตาที่ดูรื่นรมย์ในวันนั้น
ทำให้ผู้ชายคนนี้หน้าอ่อนกว่าวัยหลายปีทีเดียว
51 ปีก่อน เขาเกิดในวังศุโขทัย ในสมัยของ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ซึ่งเป็นสมเด็จย่า
คุณแม่ คือ ม.ล.ประอร มาลากุล ซึ่งเป็นนางสนองพระโอษฐ์ของสมเด็จย่า กระทั่งอายุประมาณ
3-4 ขวบ พ่อแม่แยกทางกัน พ่อออกมาอยู่นอกวัง ต่อมาภายหลังแม่แต่งงานใหม่กับหม่อมเจ้าการวิก
จักรพันธุ์
"พ่อออกจากบ้านเมื่อผมอายุ 3 ขวบครึ่ง น้อยใจ เสียใจ แต่ไม่รู้จะบอกเขาอย่างไร
รู้แต่ว่าพอโตขึ้นไม่อยากอยู่เมืองไทยเลย พ่อดึงที แม่ดึงไปที ทั้งๆ ที่เราอยากอยู่ด้วยกับเขาทั้ง
2 คน เวลา อยู่กับพ่อ หากทำเรื่องให้เขาไม่พอใจก็บอกว่านิสัย เหมือนแม่ เวลาอยู่กับแม่
แม่ไม่พอใจก็บอกว่าเป็น เพราะพ่อ แล้วคนที่เราวิ่งไปหาร้องไห้ด้วยอย่าง อัดอั้นตันใจ
ไม่ไล่เรา ไม่หาว่าเรากวนก็คือท่านพ่อ
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดตั้งแต่ผมอายุ 3-4 ขวบ แต่ฝังใจมากเลยนะ พออายุ 12
เลยอยากไป ไม่อยากอยู่แล้วเมืองไทย ทำไม ชีวิตวุ่นวายนัก พระองค์เจ้าสุทธสิริโสภา
ที่มีศักดิ์เป็นท่านป้า เลยให้เงินไปเรียนเมืองนอก"
"น้อยใจพ่อแม่มาก แต่เพิ่งมาเคลียร์ กับพ่อแม่จริงๆ เมื่อปีที่แล้วนี่เอง
แต่ไม่โทษท่านหรอก ตอนนั้นคุณพ่อก็กำลังหนุ่ม กำลังหลงระเริงกับชีวิต หนังสือจิตวิทยาสำหรับเลี้ยงลูกคงไม่มีด้วย"
หมึกแดงเล่าต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนเบา
คนที่หมึกแดงเรียกปู่, แด้ดดี้ หรือ ท่านพ่อ คือ หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์
ผู้มีรูปเรียงรายอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงาน นอก จากพระรูปของพระนางเจ้ารำไพพรรณี
และพระญาติผู้ใหญ่อีกหลายคน
หม่อมเจ้าการวิกมีชายาคนแรกคือ หม่อมเจ้าหญิงผ่องผัสมณี สวัสดิวัตน์ ซึ่งเป็นน้องสาวของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี
และหม่อมเจ้าเฉลิมศรี ซึ่งเป็นท่านปู่แท้ๆ ของหมึกแดง
"ชีวิตชาววังที่ได้ใกล้ชิดสมเด็จย่า ซึ่งเป็นพระราชินีกับพระองค์หญิงสุทธสิริโสภา
เป็นคนช่วยเลี้ยงดู พระราชทานเงินทองให้ มีความสุขพอสมควร ในวัยเด็กผมไม่ได้ลำบาก
แต่รู้ว่าตัวเองเป็นเด็กที่ต้องการความรักความอบอุ่นอย่างมาก
"ชีวิตในช่วงนั้นมีความสุขที่สุดก็คือ ทุก weekend ท่านพ่อพาไปพัทยา ซึ่งตอนนั้นไม่มีอะไรเลย
มีโรงแรมที่ใหญ่ที่สุด คือ นิภาลอดจ์
ตอนเด็ก เรียนหนังสือที่โรงเรียนสมถวิล ต่อชั้นประถมที่สาธิตประสานมิตร
จบระดับอุดมศึกษาที่ Cheltenham College ในประเทศอังกฤษ ด้วยคะแนนด้านภาษาเป็นเยี่ยม
ทั้งอังกฤษ และฝรั่งเศส จึงตัดสินใจไปเรียนต่อทางการทูตที่ George Washington
University เรียนแค่ปี 3 ก็ลาออก เมื่อพบว่าตัวเองมีความสุขกับการทำอาหารมากกว่า
"ตอนเปลี่ยนที่เรียน ก็เขียนจดหมายมาบอกที่วังศุโขทัย วุ่นวายกันใหญ่ ในที่สุดพระนางเจ้ารำไพพรรณี
เป็นคนพระราชทานค่าเล่าเรียนให้"
ช่วงที่เรียนหนังสือ หมึกแดงกลับบ้านบ้างในช่วงปิดเทอม และทุกครั้งพ่อกับลูกๆ
ทั้ง 3 คนจะถูกพาไปตระเวนกินอาหารตามที่ต่างๆ การซึมซับเรื่องราวของอาหารถูกสะสมมาตั้งแต่ตอนนั้น
จนกระทั่งเรียนจบ หมึกแดงแทบจะไม่ได้กลับเมืองไทยอีกเลย เพราะได้เปิดร้านอยู่ที่อเมริกา
พร้อมๆ กับเป็น Executive Chef ให้กับภัตตาคารและโรงแรมอีกหลายแห่งตั้งแต่ปี
2525
จนกระทั่งวันหนึ่งในปี 2535 ได้รับโทรศัพท์จากคนคนหนึ่งตอนตี 3 คำแรกที่ได้ยิน
คือ
"ไอ้หนูเหรอ เราได้ยินก็คิดในใจว่า ไม่มีใครเรียกเราว่าไอ้หนู ต้องเป็นพ่อเราแน่เลย
เพราะเรายังเป็นเด็กเสมอในสายตาพ่อ เขาโทรมาจากซีแอต เติล ผมก็บินไปหา พ่อแก่ไปมาก
ผมขาวทั้งหัวเลย"
พอพ่อบอกให้กลับมาช่วยงานที่เมืองไทย เลยกลับมาเมืองไทย จัดการขายทุกอย่างหมด
เหลือเป็นเงินไทยกลับบ้าน ล้านกว่าบาท
"กลับมา พ่อก็คือพ่อ ไม่ได้แพลนอะไรจริงจังไว้ให้เราเลย ใหม่ๆ ต้องไป อาศัยพระตำหนักของพระองค์หญิงที่แคราย"
หมึกแดงหมายถึงพระตำหนักปฐม
สำหรับเด็กผู้ชายที่ออกจากบ้านไปศึกษาต่อในต่างประเทศ ตั้งแต่อายุ 12 ขวบ
กลับมาอยู่เมืองไทยอีกครั้งเมื่ออายุ 40 ระยะเวลาอันยาวนานถึง 28 ปีเต็มนั้น
ได้หล่อหลอมให้เขาเป็นคนกล้าพูด ตรงไปตรงมา จนกลายเป็นความ "ก้าวร้าว" ในสายตาของผู้ใหญ่ในสังคมไทย
ดังนั้น จึงไม่มีความสุขเลยกับสังคมและสิ่งแวด ล้อมในเมืองไทย
"เราเห็นวิธีที่พ่อทำงาน ก็รับไม่ได้ ทำไมพ่อยอมให้คนเอาเปรียบ พวกญาติๆ
เขาก็มองว่า เราทำแบบพ่อไม่ได้หรอก เราพูดอะไรตรงไปตรงมา เห็นบางคนเอาเปรียบพ่อเรา
แต่พ่อยังมองว่าเขามีบุญคุณ มากมาย ทั้งๆ ที่เขาเองก็ได้ประโยชน์จาก พ่อ
มันต้อง win-win ซิ โอ๊ย! ทะเลาะกันใหญ่โตหลายเรื่อง"
ทุกอย่างสงบลงได้ เมื่อเขาได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับหลวงพ่อไพบูลย์ วัดอนาลโย
จังหวัดพะเยา และไปบวชที่วัดนั้นถึง 3 เดือนเต็ม ใจเย็นลง ยอมรับ และเข้าใจชีวิตมากขึ้น
หลังจากสึกไปอยู่บ้านของท่านผู้หญิงเลอศักดิ์ สมบัติศิริ 8 เดือน ทำร้านขายสลัดในแอร์พอร์ต
ขายไวน์ และเริ่มเป็นคอลัมนิตส์ในหนังสือต่างๆ เช่น การวิกของค่ายเนชั่น
ปัจจุบันเลิกทำไปแล้ว และในช่วงนั้นเองที่ตัดสินใจจะเดินตามรอยพ่อ และสร้างแบรนด์ของตนเอง
"หลายคนมองว่า เราเนรคุณ จะแข่งกับพ่อ บางคนก็ว่า ทำไม่ได้หรอก ต่างๆ นานา
แต่เราอยากทำ เพราะมีความรู้ทางด้านนี้และเห็นรายการอาหารต่างๆ ที่เมืองนอกมา
วิธีนำเสนอน่าสนใจ ก็รอให้พ่อชวน พ่อก็ไม่ชวนสักที"
บุคคลที่หมึกแดงเรียนปรึกษา และทำให้ เขามีกำลังใจในการทำอาชีพนี้คือ พระองค์เจ้า
หญิงสุทธสิริโสภา
"ก่อนทำทีวีรายการแรกก็ไปถามพระองค์หญิงว่า เราเนรคุณไหม ถ้าจะไปทำรายการโทรทัศน์
เขียนหนังสือ หรือทำรายการ เกี่ยวกับอาหารเหมือนกับพ่อ พระองค์หญิงก็ตอบว่า
ไม่ พ่อเธอเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่มีเงายาว มาก ถ้าเธอจะไปเกิดใต้ต้นไม้นั้นเธอก็เป็นได้แค่เห็ดเพราะไม่โดนแดด
ออกไปทำเองเลย เพราะป้ามั่นใจว่าเธอทำได้"
แล้วเขาก็สามารถทำได้จริงๆ ถึงแม้รับไม่ได้กับระบบการใช้คอนเนกชั่น และเป็นคน
"ขวางโลก" ของใครหลายคน แต่หมึกแดง ก็ได้ทำหน้าที่ทดแทนคุณพ่อแม่ มีโอกาสได้เลี้ยงดูหลาน
ลูกของ ม.ล.เพิ่มวุทธ์ พี่ชายและเมื่อวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมานี้ก็ได้เอา
"ปืน" หลานชายคนโตอายุ 12 ปีไปศึกษาต่อที่โรงเรียนประจำในประเทศออสเตรเลีย
ส่วนหลานสาวคนเล็กอายุ 9 ขวบเตรียมตัวให้เรียนต่อที่ฮาร์โรว์ในเมืองไทย
ชีวิตส่วนใหญ่คือการเดินทางแบบพ่อ ทั้งชิมอาหาร และทำรายการ ส่วน ม.ล.ประอร
หลังสิ้นหม่อมเจ้าการวิก ยังคงพักอยู่ใน "บ้าน ตากะยาย" ในหมู่บ้านสัมมากรกับคนดูแลโดยพ่ออยู่กับครอบครัวและน้องคนเล็ก
ยามเหน็ดเหนื่อยจากหน้าที่การงานก็ขับรถไปพักที่คอนโดมิเนียม ริมหาดหัวหิน
ซึ่งห้องชุดหลังนี้ใช้เงินที่ได้มาจากมรดกของหม่อมเจ้าการวิก โดยซื้อต่อจากท่านผู้หญิงเลอศักดิ์
สมบัติศิริ บางครั้งก็เล่นเทนนิส และอ่านหนังสือเพิ่มเติมความรู้ เป็นพลังในการสร้างสรรค์งานใหม่ออกมา