ไทยออยล์เล็งระดมทุนในตลาดหุ้น 1.18 หมื่นล้านบาท โดยจะยื่นไฟลิ่งก่อน 5 ก.ย.
หวังรับสิทธิด้านภาษี และจะกระจายหุ้นในช่วงต.ค.-พ.ย.47 หากพ้นระยะเวลาดังกล่าวจะเลื่อน
ไปปีหน้า โดยเงินจากการระดมทุนจะนำไปขยายหน่วยกลั่นอีก 5 หมื่นบาร์เรล โรงไฟฟ้าไอพีพี
และเพิ่มกำลังการผลิตของไทยพาราไซลีน ตั้งเป้าปีนี้มีกำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 6,000
ล้านบาท มาจากการดำเนินงานทั้งหมด ผลพวงจากค่า การกลั่นสูง และราคาน้ำมันพุ่ง
นายปิติ ยิ้มประเสริฐ กรรมการอำนวยการ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด เปิดเผยความคืบหน้า
การนำบริษัทฯเข้าระดมทุนในตลาด หลักทรัพย์ฯว่า บริษัทฯมีแผนจะยื่นแบบกระจายหุ้น
(ไฟลิ่ง) เพื่อขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯก่อนวันที่ 5 กันยายน 2547 เพื่อจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
โดยจะกระจายขายหุ้นให้ประชาชน ได้ประมาณเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายนนี้ หากพ้นระยะเวลาดังกล่าวก็จะเลื่อนการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯไปเป็นต้นปีหน้า
คาดว่าจะได้เงินระดมทุนประมาณ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 11,850 ล้านบาท
สำหรับหุ้นที่จะนำมากระจาย ให้กับนักลงทุนจะเป็นทั้งหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่และหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิม
โดยรายละเอียดอยู่ระหว่างการศึกษา ส่วนการแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อนำบริษัทเข้าตลาดหุ้นนั้นกำลังพิจารณา
ซึ่งเงินที่ระดมทุนได้บริษัทจะนำไปใช้ลงทุนในส่วนขยายหน่วยกลั่นน้ำมันอีก 5 หมื่นบาร์เรล
ใช้เงิน 60 ล้านเหรียญ โรงไฟฟ้าไอพีพีขนาด 700 เมกะวัตต์จำนวน 2 ยูนิต ส่วนขยายกำลังการผลิตของไทยพาราไซลีนอีก
1 แสนตัน ใช้เงินประมาณ 50 ล้านเหรียญ และซื้อเรือขนส่งปิโตรเคมีเพิ่มเติม จากปัจจุบันที่มีอยู่
7 ลำ มีระวางความจุ 3 หมื่นเดตเวตตัน
แผนการลงทุนในโรงไฟฟ้าไอพีพีดังกล่าว บริษัทฯมีที่ดินพร้อมรองรับการก่อสร้างโรงไฟฟ้า
รวมทั้งมีท่อก๊าซ น้ำ และสายส่งพร้อมแล้ว คาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 2 ปี ก็จะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ
ซึ่งแต่ละโรงจะใช้เงินลงทุนเพียง 360-400 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น เพียงแต่ต้องเจรจาขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
(กฟผ.) ก่อน เชื่อว่าไม่น่ามีปัญหา เพราะโรงไฟฟ้าดังกล่าวจะมีต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำมาก
กล่าวคือต่ำกว่า 1.70 บาทต่อยูนิต
นายปิติกล่าวถึงผลการดำเนินงานในปี 2547 ว่า บริษัทฯตั้งเป้ากำไรสุทธิในปีนี้ไม่ต่ำกว่า
6,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นกำไรจากการดำเนินงาน โดยไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน สูงขึ้นจาก
ปีก่อนที่มีกำไร 6,700 ล้านบาท แบ่งเป็นกำไรจาก การดำเนินงานจริง 3,000 ล้านบาท
และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 3,700 ล้านบาท เนื่องจากไทยออยล์มีกำลังการผลิตอยู่ที่
230,000 บาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็น 105% ของกำลังการผลิตรวม และค่าการกลั่นตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่
3-5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล สืบเนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันในจีน รัสเซีย และอินเดียเพิ่มสูงขึ้น
ขณะที่การผลิตไม่เพียงพอ ทำให้แนวโน้มราคาน้ำมัน ในตลาดโลกไม่มีทีท่าจะปรับตัวลง
ส่วนแผนงานการร่วมดำเนินการผลิตกับบริษัท ไทยพาราไซลีน จำกัด และบริษัท ไทยลู้บเบส
จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ขณะนี้ปตท. ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ถือหุ้นญี่ปุ่น
คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้ โดยเฉพาะไทยพาราไซลีน อาจจะใช้วิธีแลกหุ้น (สว็อปหุ้น)
ระหว่างหุ้นไทยพาราไซลีน กับหุ้นไทยออยล์ แทนการซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นเดิม ซึ่งในหลักการแล้วทางผู้ถือหุ้นญี่ปุ่นเห็นชอบด้วย
ทำให้ญี่ปุ่นเข้ามาถือหุ้นไทยออยล์ไม่เกิน 3%
"การเจรจากับบริษัทในเครือฯเราอยากให้ จบภายในเดือนกันยายนนี้ แต่ถ้าไม่จบ
ก็ไม่เป็น อุปสรรคในการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยโครงสร้างการถือหุ้นไทยออยล์หลังเข้าตลาดนั้น
ปตท.จะถือหุ้นเพียง 38-39%จากเดิม 49.9%" นายปิติกล่าว
เซ็นสัญญาเงินกู้ใหม่
วานนี้ (19 เม.ย.) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด ได้ลงนามสัญญาเงินกู้ใหม่ (Refinancing
Laon Facilities Agreements) ทำให้บริษัทปลดภาระผูกพันและหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ได้ทั้งหมดทำให้บริษัทสามารถขยายการลงทุนในโครงการต่างๆได้
ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากเจ้าหนี้เงินกู้ต่างประเทศที่ยอมรับแผนรีไฟแนนซ์ ถึง
97% รวมทั้งเจ้าหนี้ธนาคารไทย 6 ราย คือ ธนาคารกรุงเทพ บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารทหารไทย และธนาคารกรุงศรีอยุธยา ได้ร่วมปล่อยสินเชื่อใหม่ในลักษณะ
Corporate Finance ให้บริษัทนำไปรีไฟแนนซ์ เงินกู้สกุลเงินบาทจำนวน 14,000 ล้านบาท
โดยเจ้าหนี้ธนาคารไทยแปลงเงินกู้บาทครึ่งหนึ่งเป็นดอลลาร์สอดคล้องกับโครงสร้างรายได้ของบริษัท
ส่วนเงินกู้บาทที่เหลือจะมีอัตราดอกเบี้ยถูกลง จากเดิมอิง MLR เป็นอิงอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก
ทำให้ลดดอกเบี้ยจ่ายรวม 50 ล้านเหรียญ รวมทั้งซื้อลดหนี้จำนวน 200 ล้านเหรียญในราคา
96% และอายุเงินกู้ลดลง 4 ปี จากเงื่อนไขครบกำหนดชำระคืนงวดสุดท้ายเป็นปี 2553
สอดคล้องความสามารถในการชำระหนี้
นายปิติ กล่าวว่า ภายหลังจากไทยออยล์ลงนามสัญญาเงินกู้ใหม่นี้ ทำให้ภาระหนี้ลดลงจากเดิม
1,040 ล้านเหรียญสหรัฐ เหลือเพียง 830 ล้านเหรียญสหรัฐ อัตราหนี้สินต่อทุนจากเดิม
1.3 เท่า ลดลงเหลือ 1 เท่า