แบงก์ไตรมาส 1 กำไรพุ่ง 64 % อานิสงส์ไถ่ถอนสลิป - แคปส์


ผู้จัดการรายวัน(13 เมษายน 2547)



กลับสู่หน้าหลัก

คาดผลประกอบการของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย 13 แห่งไตรมาสแรกปีนี้ จะขยายตัวร้อยละ 25.71 ขณะที่กำไรพุ่ง 64% ตามปัจจัยการเติบโตของสินเชื่อ การไถ่ถอนสลิปและแคปส์ของธนาคารขนาด ใหญ่

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คาดการณ์ผลประกอบการของระบบธนาคารไทยทั้ง 13 แห่ง ประจำไตรมาสแรกของปี 2547 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของไตรมาสก่อน คาดว่า กลุ่มธนาคารไทยจะสามารถบันทึกกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (ก่อนสำรอง) ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 25.71 %มาที่ประมาณ 25,000 ล้านบาท ขณะเดียวกัน กำไรสุทธิของระบบธนาคารน่าจะขยายตัว 64.09 % มาที่ประมาณ 21,000 ล้านบาท ตามปัจจัยหนุนจากการเติบ โตของสินเชื่อ การไถ่ถอนตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุนของ 3 ธนาคารขนาดใหญ่ ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการทำสำรองที่ชะลอตัวลง

ทั้งนี้ แม้ว่าความต้องการสินเชื่อในไตรมาสแรกปี 2547 จะได้รับผลกระทบจากการระบาดของไข้หวัดนก สถานการณ์ความไม่ สงบในภาคใต้ของไทย ราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น การออกมาตรการเพื่อควบคุมหนี้ภาคครัวเรือนจากทางการ และมาตรการลดหย่อนภาษีอสังหาริมทรัพย์ที่หมดลงในช่วงสิ้น ปี2546 แต่คาดว่าสินเชื่อของระบบธนาคารไทย คงจะสามารถบันทึกอัตราการขยายตัวที่เป็นบวกได้ประมาณ 0.7% จากสิ้นไตรมาสก่อน โดยน่าจะเห็นตัวเลขเอ็นพีแอลที่ปรับตัว ลดลง ตามความคืบหน้าในการปรับโครงสร้าง หนี้

นอกจากนี้ ในฝั่งรายจ่ายดอกเบี้ยนั้น การไถ่ถอนตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน (SLIPS/CAPS) ของ 3 ธนาคารขนาดใหญ่ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมาจนถึงเดือนมีนาคม 2547 ยังสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยให้กับระบบธนาคารได้อีกประมาณ 8,900 ล้านบาท ต่อปี แม้ว่าสภาพคล่องจากการไถ่ถอนตราสาร ดังกล่าวบางส่วน จะมีผลทำให้เงินฝากของระบบธนาคารไทยเพิ่มขึ้นมากกว่าอัตราการเพิ่มของสินเชื่อก็ตาม

สำหรับอนาคตของผลประกอบการและทิศทางของธนาคารพาณิชย์ไทยนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า การไถ่ถอนตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุนสำหรับอีก 2 ธนาคารที่เหลือ ยังจะเป็น ปัจจัยบวกต่อแนวโน้มการทำกำไรของระบบธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ เมื่อทางการสามารถควบคุมการระบาดของโรคไข้หวัดนก และสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ได้ ความต้องการสินเชื่อโดยเฉพาะจากลูกค้าขนาดใหญ่ น่าจะกลับคืนสู่ภาวะปกติได้ในครึ่งหลังของปี

ในปี 2547 การเติบโตสินเชื่อขนาดใหญ่น่าจะมีบทบาทมากกว่าสินเชื่อรายย่อย เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากทิศทางการลงทุนในขาขึ้น ขณะที่วัฏจักรการบริโภคของภาคเอกชนเริ่มเข้าสู่จุดอิ่มตัว ประกอบกับเผชิญข้อจำกัดจากมาตรการควบคุมการก่อให้ภาคครัวเรือนของทางการ ซึ่งอาจมีผลให้การเติบ โตของสินเชื่อรายย่อยไม่สดใสเช่นในปีก่อนหน้า แต่ทั้งนี้ ภาวะสภาพคล่องส่วนเกินอาจทำให้ภาวะการแข่งขันเพื่อแย่งชิงลูกค้ายังคงรุนแรง และอาจนำมาสู่การตัดราคาเพื่อช่วงชิงลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งจะลดทอนโอกาสการเพิ่มรายได้ดอกเบี้ยจากการขยายฐานสินเชื่อของกลุ่มลูกค้าประเภทดังกล่าวได้

สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังคงมองว่าปริมาณสภาพคล่องส่วนเกินที่ยังมีระดับสูงถึงประมาณ 650,000 ล้านบาท น่าจะเพียงพอที่จะรองรับความต้อง การใช้เงินจากระบบเศรษฐกิจและความต้อง การสินเชื่อภาคเอกชนได้ตลอดปี 2547 โดยไม่ทำให้ธนาคารพาณิชย์ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ อันจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างดอกเบี้ยในภาพรวมได้

ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างปี 2547 กระแสข่าว การควบรวมและปรับรูปแบบกิจการของสถาบันการเงิน อาจนำมาสู่การเคลื่อนย้ายเงิน ฝากระหว่างสถาบันการเงินได้ ขณะที่ความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสแรก ของปี 2547 นั้น น่าจะช่วยเพิ่มฐานความแข็ง แกร่ง ของเงินทุน เพื่อนำไปสู่การเร่งขยายขอบ เขตธุรกิจให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีระดับโลก หากมีการเปิดเสรีทางการเงินในอนาคต



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.