"ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี" เผยยังไม่ได้รับแจ้ง"ซิโน-ไทยฯ"
ถอนร่วมทุนโครงการผลิตอิฐมวลเบา ชี้เป็นโครงการที่ดีและได้ดำเนินการถมที่ดินทำฐานรากให้เสร็จช่วงสงกรานต์
ยืนยันโครงการจะเสร็จตามแผนเดิมแม้มีปัญหาเรื่องพาร์ตเนอร์ ด้านโบรกเกอร์เชียร์ซื้อหุ้น
ซิโน-ไทยฯ เหตุเป็นหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี และการถอนการร่วมทุนครั้งนี้ไม่ส่งผลกระทบธุรกิจ
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา ออกบทวิเคราะห์ว่า ขณะนี้บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง
แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (STECON) ได้ตัดสินใจจะถอน การลงทุนในโครงการผลิตอิฐมวลเบา
(AACP) ที่ถือหุ้นอยู่ 19% ร่วมกับบริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหา-ชน)(CCP)
เนื่องจากต้องการมุ่งเน้นการบริหารงานในธุรกิจหลัก คือการรับเหมาก่อสร้าง มากกว่าจะไปบริหารธุรกิจรอง
(Non-Core Business)
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าSTECON จะถอนการลงทุนก็ตาม แต่เชื่อว่าไม่มีผลกระทบใดๆ กับ
STECON เพราะบริษัทฯต้องการกลับมาเน้นการบริหารงานภายในบริษัทให้มีประสิทธิภาพและประหยัดค่าใช้จ่ายให้มากที่สุดเพื่อชดเชยปัญหาราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
โดยปีนี้ STECON คาดว่าจะมีรายได้การก่อสร้างที่สูงถึง 10,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติ
การณ์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา และเปรียบเทียบกับปี 2546 สูงกว่า 1 เท่าตัว ซึ่งปี
2546 มีรายได้ 5,300 ล้านบาท คาดว่าปีนี้จะมีกำไร 868 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น
0.85 บาท ขยายตัวขึ้น 85%
ดังนั้น จึงแนะนำให้ซื้อลงทุน โดยมีราคาเป้าหมายอยู่ที่ 21.25 บาท เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี
รวมทั้งมูลค่างานในมือมีสูง มีมูลค่างานในมือ (Backlog) ณ ปัจจุบันสูงถึง 16,515
ล้านบาท มีโอกาสที่จะได้รับงานขนาดใหญ่ ที่จะเปิดประมูลอีกมากทั้งภาครัฐบาลและเอกชน
บริษัทมีหนี้น้อย เพราะได้รับค่าเงินก่อสร้างล่วงหน้า (Advance Payment) เป็นจำนวนมาก
ปัจจุบัน STECON สั่งซื้อวัตถุดิบ ประเภทคอนกรีตจาก CCP คิดเป็น 5-6% จากการซื้อคอนกรีตทั้งหมด
แต่ STECON เป็นลูกค้ารายใหญ่ของ CCP มีการสั่งซื้อสินค้าเป็น 30% ของการจำหน่ายทั้งหมดของ
CCP
นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้ช่วย กรรมการผู้จัดการสายปฏิบัติงาน บริษัท
ผลิต ภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) (CCP) กล่าว ขณะนี้ยังไม่ได้รับแจ้งว่า
STECON จะถอนตัวจากการร่วมทุนในบริษัท ออโตเครป แอเรทเต็ด คอนกรีตโปรดัก จำกัด
ซึ่งเป็นผู้ผลิต และจำหน่ายอิฐมวลเบา ซึ่งโครงการนี้ CCP ถือเป็นกลุ่มหุ้นใหญ่รวม
40% ขณะที่ STECON ถือหุ้น 19%
โครงการดังกล่าวมีผลการศึกษาการลงทุน ที่ดี และความต้องการใช้อิฐมวลเบาก็ขยายตัวเพิ่ม
สูงขึ้นตามการเติบโตของภาคก่อสร้าง หากมีปัญหาเรื่องพาร์ตเนอร์ เชื่อว่าจะไม่กระทบกับโครงการ
เพราะ CCP เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และขณะนี้โครงการดังกล่าวได้มีการซื้อที่ดิน และเตรียมพื้นที่เพื่อตอกเสาเข็มในช่วงสงกรานต์นี้
รวมทั้งจะเปิดL/C เพื่อสั่งซื้อเครื่องจักรมาผลิต คาดว่าโรงงานจะดำเนินการผลิตอิฐมวลเบาได้
ไตรมาสแรกของปี 2548 หลังจากนั้นจะทดลอง เดินเครื่องจักรประมาณ 6 เดือนประมาณ 60-70%ของกำลังการผลิต
ก่อนที่จะผลิตเต็มที่ 3 ล้านตารางเมตรในเวลาถัดไป
โครงการผลิตอิฐมวลเบา ใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 600-700 ล้านบาท โดยมีการเรียกทุนชำระแล้ว
105 ล้านบาท ซึ่ง STECON ก็ใส่เงินเพิ่มทุนมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว