เหมราชฯขยายพื้นที่รองรับตปท.ลงทุน


ผู้จัดการรายวัน(12 เมษายน 2547)



กลับสู่หน้าหลัก

เหมราชฯเตรียมขยายพื้นที่อุตฯ 2 แห่งรองรับอานิสงส์ต่างชาติขยายฐานการลงทุน เผยไตรมาสแรกขายพื้นที่แล้ว 175 ไร่ พร้อมพัฒนาพื้นที่เช่า SME อีกกว่า 60% ส่วนธุรกิจภาคอสังหาฯที่เพิ่งส่งชิมลางตลาดมียอดจองแล้ว กว่า 55 ยูนิต หวังรายได้ส่วนนี้แตะ 25% ของเป้าปี 47 ที่ตั้งไว้ 3,000 ล้านบาท ส่วนปีหน้ารายได้ Residential ขยับเป็น 40-45% ของรายได้รวม 5,000 ล้านบาท

ปรับราคาที่ดินนิคมฯอีก 5%

มร.เดวิด ริชาร์ด นาโดน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2547 บริษัทตั้งเป้ารายได้จากการดำเนิน งานธุรกิจหลักประมาณ 3,000 ล้านบาท โตขึ้นจาก ปี 46 ที่ผ่านมาที่มีรายได้ประมาณ 1,500 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม 55% รวมถึงระบบสาธารณูปโภคภายในนิคมอุตสาหกรรม โรงงานสำเร็จรูปทั้งในรูปของการให้เช่า-ขาย และระบบสาธารณูปโภคอื่นๆ 20%รวมถึงในส่วนของการพัฒนาด้านอสังหาริมทรัพย์อีก 25%

ทั้งนี้ รายได้จากการดำเนินการในไตรมาสแรก บริษัทได้ขายพื้นที่พัฒนาแล้วจำนวน 175 ไร่ ซึ่งลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่เป็นบริษัทปิโตรเคมี และบริษัทญี่ปุ่นที่ย้ายฐานการผลิตอุตสาหกรรม รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์มายังประเทศไทย รวมแล้วมีลูกค้าใหม่ 7 ราย และอยู่ระหว่างการเซ็นสัญญาอีก 16 ราย

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนงานการพัฒนาขยายพื้นที่ขายในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอีก 2 แห่ง คือ ในนิคมอุตสาหกรรมชลบุรี(บ่อวิน) เฟส 2 จำนวน 270 ไร่ ซึ่งยังคงเหลือพื้นที่สำหรับการ พัฒนาอีกประมาณ 400 ไร่ รวมพื้นที่โครงการทั้ง สิ้น 5,000 ไร่, นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด (ระยอง)เฟส 5 ขยายจำนวน 900 ไร่ ซึ่งยังมีเหลือพื้นที่สำหรับการพัฒนามากกว่า 2,000 ไร่ รวมพื้นที่ทั้งหมด 8,250 ไร่และนิคมอุตสาหกรรม ตะวันออก (มาบตาพุด)ที่ยังไม่มีแผนการขยายพื้นที่ขายแต่เหลือพื้นที่สำหรับการพัฒนาประมาณ 450 ไร่ รวมพื้นที่ทั้งหมด 2,500 ไร่ ทั้งนี้คาดว่าในอนาคตราคาที่ดินอาจมีการปรับราคาขึ้นอีก 5%

สำหรับพื้นที่ให้เช่าในส่วนโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม(SME) มีการพัฒนาพื้นที่ส่วนนี้เพิ่มขึ้นกว่า 60% จากเดิมที่มีอยู่ 400-500 ไร่ ส่วนการพัฒนาพื้นที่เพื่อขายมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 20% คาดว่าผลกระ-ทบจากภาวะปัจจัยต่างๆ ทำให้ราคาก่อสร้างเพิ่ม ขึ้นอีก 2-2.5% ทั้งนี้ การออกแบบจะเน้นประโยชน์ในพื้นที่ใช้สอยมากที่สุดและสามารถใช้งาน ได้ในระยะยาวเพื่อชดเชยส่วนของต้นทุนที่มีเพิ่มขึ้นมา

ขณะนี้ในนิคมฯทั้ง 3 แห่งมีโรงงานทั้งสิ้นรวม 214 โรง แบ่งเป็นอุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ จำนวน 85 ราย, อุตสาหกรรมปิโตรเคมี จำนวน 34 ราย, อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ 17 ราย, สินค้าอุปโภคและบริโภค 25 ราย, อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง 14 ราย , อุตสาหกรรมเหล็ก และชิ้นส่วนโลหะ 16 ราย , อุตสาหกรรมขนส่ง 6 รายและอื่นๆ 17 ราย

ส่วนภาพรวมตลาดนิคมฯในไตรมาสที่สอง มร.นาโดนกล่าวถึงภาพรวมว่าตลาดจะโตขึ้นอีก เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในขณะนี้มีความแข็งแกร่งขึ้น คาดว่าบริษัทจะมีรายได้จากการพัฒนาพื้นที่โตขึ้น 20% และรายได้จากสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้นอีก 20% ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้

คอนโดมิเนียมสร้างรายได้

ปัจจุบันบมจ.เหมราชพัฒนาที่ดินได้ขยายการดำเนินธุรกิจไปสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากมองเห็นโอกาสการขยายรายได้ให้กับบริษัทในขณะที่ตลาดอสังหาฯมีอัตราการโตเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากการพัฒนานิคมฯ อีกทั้งเป็น การเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นและเป็นการกระจาย ความเสี่ยงด้วยอีกทางหนึ่ง

ส่วนโครงการที่ส่งประเดิมตลาดเป็นโครง การแรกคือ เดอะพาร์ค ชิดลม ลักษณะเป็นโครงการคอนโดฯหรูตั้งอยู่ย่านถนนชิดลม ถนนสายธุรกิจหลัก โดยจับกลุ่มลูกค้าระดับบนเป็นหลัก ทั้งนี้ตัวโครงการพัฒนาขึ้นบนพื้นที่ทั้งหมด 5.5 ไร่ จำนวน 2 อาคาร มูลค่าโครงการรวม 5,000 ล้านบาท ราคาขายประมาณ 94,000-100,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งขณะนี้มียอดจองแล้ว 25% หรือ 55 ยูนิต จากการเปิดตัวประมาณ 1 เดือนกว่า แบ่งเป็นลูกค้าชาวไทย 60%และชาวต่าง ชาติ 40% ซึ่งลูกค้าชาวไทยจะซื้อไว้เพื่ออาศัยเองประมาณ 2 ใน 3 นอกจากนั้นเป็นการลงทุนให้เช่า โครงการนี้คาดว่าจะสามารถปิดการขายประมาณไตรมาสที่สองของปี 2549

โครงการ เดอะพาร์ค ชิดลม มีการวางแผน ดำเนินการก่อสร้างเมื่อต้นปี 2546 โดยได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากธนาคารกรุงไทย จำนวน 1,800 ล้านบาท ดำเนินการก่อสร้างโครง การโดยบริษัท ซิโน-ไทย แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณกลาง ปี 2549

สำหรับปี 2547 บริษัทตั้งเป้ารายได้ในส่วน ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ 25% จากยอดรวมทั้งหมดของบริษัทปีนี้ 3,000 ล้านบาท ส่วนปี 2548 นั้น รายได้ในส่วน Residential น่าจะอยู่ที่ 40-45% ของรายได้รวมของบริษัทที่คาดว่าจะมีทั้งหมด 5,000 ล้านบาท

"การพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว ยังไม่มีแผน ดำเนินการเนื่องจากการพัฒนาบ้านเดี่ยวจะต้องใช้ที่ดินเป็นจำนวนมากและปัจจุบันในตลาดอสังหาฯมีคู่แข่งอยู่ในตลาดสูง ซึ่งล้วนแต่เป็นรายใหญ่ที่มีประสบการณ์มานาน บริษัทจึงหันไปเน้นการทำคอนโดฯพักอาศัยจับกลุ่ม Hi-end มากกว่าเนื่องจากมีคู่แข่งน้อย ส่วนการทำ Ser-vice Apartment นั้นอาจจะมีความเป็นไปได้สูง ทั้งนี้คงต้องศึกษาความเป็นไปได้ก่อน แต่คงต้อง วางแผนหลังจากโครงการเดอะ พาร์ค ชิดลมแล้ว เสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว" มร.นาโดนกล่าว



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.