อีสเทอร์นสตาร์ คืนสังเวียนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เล็งบุกลงทุนโครงการกรุงเทพฯ
และปริมณฑล มูลค่า 6,500 ล้านบาท อาศัยกลุ่มทุนกฤต รัตนรักษ์ และกองทุนยูเอส แคปปิตอลกรุ๊ป
คอร์ปอเรชั่น พร้อมเทกโอเวอร์โครงการร้าง ไม่เกิน 10 ชั้น มาบริหารเพื่อขายทำรายได้
เล็งเจรจาผู้ร่วมทุนธุรกิจโรงแรมย่าน ภูเก็ต และเชียงใหม่
การกลับมาของกลุ่มบริษัทอีสเทอร์นสตาร์ เรียลเอสเตท นักพัฒนาเมืองใหม่ครบวงจร
เน้นยุทธศาสตร์ลงทุนอำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยองครั้งนี้ กำลังเป็นบทพิสูจน์ที่ท้าทายของการดำเนินธุรกิจ
สำคัญ หลังจากบริษัทเงียบหายไปจากวงการ ในระยะ 5-6 ปีที่ผ่านมา และการมีผู้ถือหุ้นใหม่จากการเพิ่มทุน
คือ บริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด หรือช่อง 7 ซึ่งมี นายกฤต รัตนรักษ์
นั่งเป็นประธาน และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในธนาคารกรุงศรีอยุธยา รวมถึงการมีกองทุน
รวมยูเอส แคปปิตอล กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น ทำให้ฐานะและศักยภาพของบริษัทมีความโดดเด่นขึ้นมา
นายวิลเลี่ยม เช็ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียลเอสเตท จำกัด
(มหาชน) (ESTAR) เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่าน มา บริษัทได้ทำการปรับโครงสร้างหนี้
ซึ่งมีหนี้เดิม 1,700 ล้านบาท เกิดจากการลงทุนในที่ดิน และลงทุนพัฒนาโครงการ โดยได้มีการแก้ไข
หนี้ไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ บริษัทกรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด และยูเอส แคปปิตอล
กรุ๊ป คอร์-ปอเรชั่น กลุ่มกองทุนจากวอลล์สตรีท นิวยอร์ก ได้ใส่เงินลงทุนใน ช่วงแรกรวม
2,000 ล้านบาท และยังมีการเตรียม เงินให้กับบริษัทในการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการรวม
2 แห่ง 5,000 ล้านบาท บริษัทจะเริ่มใช้เงินในช่วงไตรมาส 4 ปี 47 เมื่อมีการใช้เงินจะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงจาก
เดิม ช่อง 7 และ ยูเอสถือฝ่ายละ 33% ผู้ถือหุ้นเดิม 34% จะปรับเป็น 2 ฝ่ายแรกเพิ่มเป็นฝ่ายละ
40% ผู้ถือหุ้นเดิมเหลือ 20%
"เหตุผลที่บริษัทลงทุนในช่วงที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอเพราะบริษัทเพิ่งได้รับเงินจากการเพิ่มทุนมาพัฒนาโครงการ
อย่างไรก็ตาม มองว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 2-3 ปีจะอยู่ในช่วง ขาลงแต่ไม่อยู่ในภาวะฟองสบู่
ทำให้ผู้ประกอบการอาจเจ็บตัวได้ การที่ไม่ประสบปัญหาอยู่ที่ต้อง พัฒนาสินค้าคุณภาพ
ราคาเหมาะสม สร้างความ แตกต่างจากตลาดให้ได้ จึงจะขายสินค้าได้"
ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจบริษัทได้รับผลกระทบจากครั้งนั้น ลูกค้าทิ้งเงินดาวน์ ผู้รับเหมา
ทิ้งงาน สถาบันการเงินไม่ปล่อยกู้ทำให้บริษัทต้องปรับกลยุทธ์และหาวิธีแก้สถานการณ์เพื่อรักษาฐานลูกค้าและแบรนด์เนมของบริษัท
โดยต้องทำโครงการให้แล้วเสร็จ ซึ่งในช่วงนั้นแก้ปัญหาด้วยการเคลียร์หนี้ผู้รับเหมาเท่าที่ทำได้
และในช่วงนั้นบริษัททำสัญญาเช่ากับบริษัท คาลเท็กซ์และเชลล์ให้ผู้บริหารเข้ามาพักในโครง
การสินทวีปาร์ค เป็นเวลา 5-6 ปี ซึ่งอยู่ในพื้นที่โครงการอีสเทอร์นสตาร์ คันทรีคลับ
แอนด์ รีสอร์ท ทำให้บริษัทมีรายได้จากส่วนนี้ 250 ล้านบาทต่อปี คิดค่าเช่าคอนโดมิเนียม
6-80,000 บาทต่อเดือน บ้านเดี่ยว 1-2 แสนบาทต่อเดือน
สำหรับแผนพัฒนาธุรกิจปี 2547 นั้น บริษัทเตรียมลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ
และปริมณฑล อย่างเต็มที่ภายในกลาง ปี 2547 ด้วยแนวคิดการทำตลาดภายใต้ โลโก้ และแบรนด์ใหม่
คือ เดอะสตาร์ อีสเทอร์น เพื่อเป็นการสร้างแบรนด์ใหม่ โดยจะขึ้นต้นว่า "สตาร์"
กับทุกโครงการที่ดำเนินงานในกรุงเทพฯ
แผนการลงทุนจะเปิดโครงการใหม่ 5 แห่งมูลค่า 6,500 ล้านบาท ใช้เงินลงทุนประมาณ
3,700 ล้านบาท ใช้งบซื้อที่ดินกรุงเทพฯ 1,200 ล้านบาท แบ่งการทำโครงการ ในส่วนของบ้านจัด
สรร 2 โครงการ ในย่านพัฒนาการ และอ่อนนุช ส่วนโครงการคอนโดมิเนียม 3 แห่ง เปิดที่
พระราม 3 2 โครงการ และนราธิวาสราชนครินทร์ อีก 1 โครงการ
"เหตุผลที่เน้นการลงทุนในกรุงเทพฯ เป็นหลัก เพราะบริษัทมีโครงการที่บ้านฉางหลายโครงการ
และยังไม่มีโครงการในกรุงเทพฯ จึงเน้น การลงทุนในพื้นที่กรุงเทพฯ เป็นหลัก คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ภายในกลางปี
2548"
ที่ผ่านมาบริษัทยังได้มีการนำฐานข้อมูลเชิง วิจัยความต้องการของลูกค้าก่อนที่จะเข้ามาทำตลาดในกรุงเทพฯ
มาเป็นเวลา 2 เดือนโดยว่าจ้างบริษัทริชาร์ด เอลลิส และบริษัท ดีทีเซท จากสิงคโปร์
เข้ามาทำการวิจัยทำให้บริษัทสามารถทำการตลาดและดี ไซน์โครงการได้ตรงกลุ่มลูกค้า
เพราะมีคู่แข่งมากราย และมีการแข่งขันรุนแรง ต่างกับตลาดต่างจังหวัด ทำให้บริษัทจำเป็นต้องเน้นความแตกต่างของสินค้าเป็นจุดขาย
ทั้งนี้ นอกจากจะพัฒนาโครงการใหม่แล้ว บริษัทมีแผนเพิ่มรายได้ให้เร็วขึ้น โดยการเข้าไปซื้อตึกร้างขนาดความสูงไม่เกิน
10 ชั้น มาปรับปรุง และขายออกไป อยู่ระหว่างเจรจากับ 3-4 ผู้ประกอบการ และมีแผนลงทุนธุรกิจโรงแรม
เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ เชียงใหม่ และภูเก็ต
ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 4,000 ล้านบาท ผลประกอบการปี 2546 มีกำไรสุทธิ 162.91
ล้านบาท กำไรเพิ่มขึ้น 214.28 ล้านบาท เทียบกับปี 2545 ที่บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ
51.37 ล้านบาท โดยบริษัทได้เพิ่มทุนและได้เงินทุนใหม่จำนวน 2,619.16 ล้านบาท และอีกจำนวนหนึ่งจากการใช้สิทธิการแปลงใบสำคัญแสดงสิทธิงวดไตรมาส
3 ปี 2546 เป็นเงิน 72.11 ล้านบาท รวมเป็นเงินทุนที่เข้ามา 2,691.27 ล้านบาท และได้นำเงินส่วน
หนึ่งไปชำระเจ้าหนี้สถาบันการเงิน 421.63 ล้านบาท และนำไปลงทุนในโครงการเดิมทำให้ปัจจุบัน
มีเงินสดคงเหลือเพื่อลงทุนในโครงการใหม่ 1,148.49 ล้านบาท และมีที่ดินรอการพัฒนาเท่ากับ
1,244 ล้านบาท
"การที่จะแข่งขันอยู่ในตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้นั้น บริษัทได้กำหนดภารกิจด่วน
2 ประการคือ ประการแรก เสนอแผนธุรกิจที่ยั่งยืนที่จะทำให้บริษัทใช้จุดแข็งที่มีอยู่บวกกับสภาวการณ์ของตลาดในปัจจุบันให้เกิดประโยชน์
ต่อบริษัท และประการที่ 2 บริษัทต้องหาพันธ-มิตรทางการค้าให้ได้เพื่อมาร่วมสร้างสรรค์ให้บริษัทเติบโตต่อไป
ซึ่งที่ผ่านมาได้มีพันธมิตรทาง การค้า 2 กลุ่มได้แก่ U.S. Capital Group Corporation
กลุ่มกองทุนจากวอลล์สตรีท นิวยอร์ก และ กลุ่มซันไรส์ อีคิวตี้ กลุ่มนักลง ทุนจากไทยจากตระกูลรัตนรักษ์
ผู้บริหารธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)" นายวิลเลี่ยม เช็ง กล่าว
นายวิลเลี่ยม กล่าวว่า แม้ว่าสถานการณ์ทั่วไปที่เกิดขึ้นภายในประเทศจะส่งผลกระทบทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักธุรกิจลดลง
โดยอาจจะส่งผลให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงประมาณ 0.2-0.4% ทั้งนี้คาดว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้จะยังคงอยู่ในช่วง
6.3-7.3% ทั้งหมดนี้ทำให้เห็นว่าแรงขับเคลื่อน เศรษฐกิจยังมีอยู่ และยังไม่มีสัญญาณว่าการขยายตัวสูงของเศรษฐกิจจะกระทบต่อเสถียร-ภาพทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป
ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น จะเห็นว่าผู้ประกอบการรายเก่ากลับคืนสู่วงการมาก
ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหม่เกิดขึ้นมากเช่นกัน ส่งผล ให้ภาวะการแข่งขันสูงขึ้น คาดว่าธุรกิจประเภทนี้จะมีอัตราการเติบโตที่ดีขึ้น
โดยเฉพาะตลาดบ้านเดี่ยวยังคงเป็นจุดสนใจของผู้ที่ต้องการซื้อบ้าน
ทางด้านความคืบหน้าของโครงการ บริษัทฯ ได้ปิดการขายและส่งมอบบ้านให้กับลูก ค้าไปแล้วทั้งสิ้น
3 โครงการคือ โครงการสินทวีพาร์ค โครงการแฮมเล็ท 1 และ 2 โครงการคันทรีโฮมเฟส 1
ขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาอีก 2 โครงการ คือ สินทวีการ์เด้นท์ ซึ่งคาดว่าจะปิด
การขายได้ทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้ และโครงการวินเทจ ซึ่งจะเปิดขายอย่างเป็นทางการในเดือนเมษายนนี้
และคาดว่าจะปิดการขายทั้งหมดได้ในปี 2548 นอกจากนี้บริษัทฯยังมีแผนที่จะพัฒนา พื้นที่ภายในอำเภอบ้านฉาง
ต่อไปอีกประมาณ 600 ไร่เศษ หากสถานการณ์ความต้องการของตลาดในพื้นที่นี้ดีขึ้น
บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด(มหาชน) ประกอบธุรกิจด้านการพัฒนา
อสังหาริมทรัพย์ ที่ขานรับนโยบายการกระจายความเจริญสู่ชนบทของรัฐบาลในโครงการพัฒนา
พื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก เน้นพัฒนาที่เขตอำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เนื่องจากเล็งเห็น
ว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพ เพราะอยู่ห่างจากนิคม อุตสาหกรรมมาบตาพุดไปทางทิศตะวันออกเพียง
10 กิโลเมตร ปัจจุบันดำเนินธุรกิจ 5 ประเภทคือ 1.การพัฒนาโครงการเพื่อขาย 2.การพัฒนา
โครงการเพื่อเช่า 3.ธุรกิจสนามกอล์ฟ 4.การร่วม ลงทุนกับบริษัทอื่นเพื่อประกอบกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
และ 5.ที่ดิน รอการพัฒนา