นักลงทุนทิ้งหุ้นSSI-NSM โบรกฯเชื่อกระทบระยะสั้น


ผู้จัดการรายวัน(15 มีนาคม 2547)



กลับสู่หน้าหลัก

นักลงทุนแห่ทิ้ง SSI-NSM ส่งผลราคาหุ้นร่วงหนัก หลังพาณิชย์ยกเว้นภาษีทุ่มตลาดนำเข้าเหล็กแผ่นรีดร้อนจาก 14 ประเทศ โบรก- เกอร์หลายค่ายฟันธงกระทบระยะสั้นในเชิงจิตวิทยาต่อตลาดเหล็กที่จะมีคู่แข่งเพิ่มขึ้น และราคาเหล็กอาจปรับขึ้นได้ไม่เต็มเพดานที่รัฐกำหนด แต่เชื่อว่าความต้องการใช้เหล็กแผ่นยังมีปริมาณสูงกว่ากำลังการผลิตของผู้ประกอบการในประเทศอยู่ดี ดังนั้น ประมาณการรายได้ SSI ไม่เปลี่ยนแปลง

จากมติที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาการ ตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (เอดี/ซีวีดี) มีมติให้ยกเว้นภาษีทุ่มตลาดการนำเข้าเหล็กแผ่นรีดร้อนจาก 14 ประเทศ ที่เก็บภาษีในอัตรา 30%-128% เป็นเวลา 6 เดือน และให้ไปใช้อัตราภาษีนำเข้าปกติ 10% หลังจากครบ 6 เดือน จะมาทบทวน อีกครั้ง โดยเห็นว่าการยกเว้นภาษีทุ่มตลาดจะเกิดผลประโยชน์กับผู้ใช้เหล็กภายในประเทศ ตาม ความต้องการที่มีสูงมากในขณะนี้ โดยการยกเว้นจะมีผลหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งเชื่อว่าภายใน 1-2 วันข้างนี้

ส่งผลให้ราคาหุ้น SSI และ NSM ปรับตัวลดลงนับตั้งแต่เปิดตลาดเมื่อวันที่ 12 มี.ค.ทันที โดยหุ้น SSI หรือบมจ.สหวิริยาสตีล อินดัสตรี เปิด ตลาดที่ 30.50 บาท ปรับตัวลดลงมาต่ำสุดที่ 29.00 บาท ก่อนจะมีแรงซื้อดันราคาขึ้นไปปิดตลาดที่ 29.25 บาท ลดลง 2.75 บาท เปลี่ยนแปลง 8.59% มูลค่าการซื้อขายรวม 389.04 ล้านบาท

ขณะที่ NSM หรือบมจ.นครไทยสตริปมิล เปิดตลาดที่ 2.80 บาท ได้มีแรงขายและซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนปิดตลาดที่ 2.74 บาท ซึ่งถือเป็นราคาต่ำสุดของวัน ลดลง 16 สตางค์ เปลี่ยนแปลง 5.52% มูลค่าการซื้อขาย 107.14 ล้านบาท

ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ไซรัส กล่าวว่า ข่าวดังกล่าวมีผลกระทบทางลบต่อจิตวิทยาการลงทุนระยะสั้นในหุ้น SSI และ NSM ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กรีดร้อนรายใหญ่ในประเทศ เพราะการยกเลิกการเก็บภาษี AD (Anti-Dumping) อาจทำให้มองได้ว่าผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้นที่จะนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศได้ ดังนั้น ราคาเหล็กในประเทศควรจะมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากมีเหล็กแผ่นรีดร้อนจาก 14 ประเทศเข้ามาแข่งขัน

อย่างไรก็ตาม บล.ไซรัสไม่ได้มองเป็นภาพเชิงลบมากนัก โดยเชื่อว่าราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนในประเทศอาจไม่ได้ปรับลดลงมากนักอย่างที่หลายฝ่ายเข้าใจ เพราะความต้องการใช้เหล็กรีดร้อนในประเทศคาดว่าจะมีประมาณ 7 ล้านตันในปี 2547 ในขณะที่กำลังการผลิตจากผู้ผลิตทั้ง 5 รายสามารถรองรับได้เพียง 3.4 ล้านตัน ดังนั้น แม้ว่าจะมีเหล็กแผ่นรีดร้อนจาก 14 ประเทศ เข้ามาแข่งขันซึ่งคาดว่าจะมีประมาณ 2 ล้านตัน จะเห็นว่าก็ยังมีแนวโน้มไม่พอกับความต้องการใช้ในประเทศอยู่ดี

ปัจจุบันราคาเศษเหล็กและเหล็กแท่ง ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนสูงขึ้น ในแง่ของคุณภาพเหล็ก เชื่อว่าทั้ง SSI และ NSM มีสินค้าที่มีคุณภาพสามารถแข่งขันกับสินค้าต่างประเทศได้

ดังนั้น จึงเห็นโอกาสที่จะซื้อสะสมเพื่อลงทุน ในหุ้น SSI และ NSM ในระยะสั้น หากราคาหุ้นในกลุ่มเหล็กจะปรับตัวลด

ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน ให้ความเห็นว่า การยกเว้นเอดีเหล็กครั้งนี้เป็นการยกเว้นเพียงชั่วคราวเป็นเวลา 6 เดือนเท่านั้น ซึ่งจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนในประเทศอย่าง SSI หรือ NSM ในทันที เนื่องจากทั้ง 14 ประเทศที่ถูกเรียกเก็บเอดีนั้น ต้องยื่นเรื่องให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาก่อนที่จะมีการยกเว้นเอดี นอกจากนี้ แม้จะมีการยกเว้นเอดีแต่ทั้ง 14 ประเทศยังคงต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราปกติประมาณ 5%

ในปี 2547 มีการคาดการณ์ว่าปริมาณใช้เหล็กแผ่นรีดร้อนจะอยู่ที่ประมาณ 7.58 ล้านตัน โดยคาดการณ์ปริมาณนำเข้าเหล็กแผ่นรีดร้อนที่ 2.61 ล้านตัน และปริมาณเหล็กแผ่นรีดร้อนที่ผลิตในประเทศที่ 3.43 ล้านตัน รวมปริมาณเหล็กแผ่นรีดร้อนนำเข้าและเหล็กแผ่นรีดร้อนที่ผลิตในประเทศในปี 2547 เท่ากับ 6.04 ล้านตัน ซึ่งยังมีดีมานด์ส่วนเกินอีก 1.54 ล้านตัน

ดังนั้น การยกเว้นเอดีเป็นเวลา 6 เดือน จึงมีผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจากดีมานด์เหล็กแผ่นรีดร้อนที่ยังคงสูงกว่าซัปพลายของเหล็กแผ่นรีดร้อน

สำหรับ SSI ที่แม้จะได้รับผลดีจากการปรับขึ้นราคาขายเหล็กแผ่นรีดร้อนเพิ่มขึ้น กก.ละ 4.79 บาท จากเดิมขาย กก.ละ 15.71 บาท เป็น กก.ละ 20.50 บาท หรือเพิ่มขึ้นตันละ 4,790 บาท แต่การยกเว้นเอดีอาจทำให้ไม่สามารถปรับเพิ่มราคาขายได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากต้องเตรียมพร้อมสำหรับเหล็กที่จะเข้ามาจาก 14 ประเทศในอีก 1-2 เดือนข้างหน้านี้

คาดว่าความต้องการใช้เหล็กแผ่นรีดร้อนที่ยังมีส่วนเกินจะทำให้ราคาขายเหล็กแผ่นรีดร้อนยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นหลังพ้นระยะเวลายกเว้นเอดี เพียงแต่ในระยะสั้นนี้ จากการที่ราคาขายอาจปรับเพิ่มไม่ได้มากนัก แต่เชื่อว่า SSI จะได้รับผลดีในด้านปริมาณขายที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งจะทำให้ประมาณการยอดขายและผลประกอบการในปี 2547 ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

ดังนั้น ยังคงคาดว่ายอดขายในปี 2547 ของ SSI จะอยู่ที่ประมาณ 34,232 ล้านบาท โดยมี Gross profit margin ประมาณ 18.3% และ operating profit margin ประมาณ 14.4% และจะมีกำไรสุทธิในปี 2547 ประมาณ 4,494 ล้าน บาท แม้จะมีผลกระทบบางส่วนจากการยกเว้นเอดี เป็นการชั่วคราว แต่คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้และผลประกอบการของ SSI มากนัก ดังนั้น จึงคงแนะนำ "ซื้อ" สำหรับ SSI ราคาที่เหมาะสมในปี 2547 ประมาณ 37.75-44.60

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่า จากการปรับเพดานราคาขาย เหล็กรีดร้อน มาตรฐานเพิ่มขึ้น 30% และการยกเลิกเก็บภาษีทุ่ม ตลาดเพื่อให้เหล็กต่างชาติเข้ามาขายใน ไทย ได้เพิ่ม ขึ้น เชื่อว่าผู้ประกอบการเหล็กรีดร้อนในประเทศยังได้ประโยชน์เพราะเหล็กรีดร้อนในประเทศยังอยู่ในภาวะ Overdemand แต่ความสามารถในการทำ กำไรในปีนี้จะลดลงจากปีก่อน เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบสูงมาก และเหล็กต่างชาติเข้ามาแข่งขันมาก ขึ้น จึงปรับคำแนะนำของ SSI จากซื้อเก็งกำไรเป็น Fully Valued โดยราคาปัจจุบัน 32 บาท



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.