ควบรวมกิจการTMB-DTDB-IFCT ฉลุย หลังเซ็นเอ็มโอยูร่วม 3 สถาบันวานนี้ "สุชาติ"
คุยเป็นดีลที่เสริมจุดแข็งซึ่งกันและกัน เผยต้องเปลี่ยนชื่อธนาคารเพื่อความเป็นสากล
ด้านตลาดหลักทรัพย์ยืด เอสพี 3 หุ้นอีก 1 วัน บิ๊กดีบีเอสสิงคโปร์ชื่นชมแผนพัฒนาระบบสถาบัน
การเงินไทยสุดยอด มูดี้ส์เตรียมปรับเรตติ้ง TMB-IFCT
วานนี้ (8 มี.ค.) มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) เพื่อควบรวม กิจการระหว่างธนาคารทหารไทย
(TMB) ธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ (DTDB) และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศ ไทย (IFCT)
โดยร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานในพิธีฯ
ร.อ.สุชาติ กล่าวว่า หลังการควบ รวมกิจการ สัดส่วนผู้ถือหุ้นใหญ่ในธนาคารทหารไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้
กระทรวงการคลังจะถือหุ้น 31.2% ธนาคารดีบีเอส สิงคโปร์ 16.1% กองทัพ 7.1% นายพานทองแท้
ชินวัตร และบริษัท ไทยประกันชีวิตรายละ 3%
"เมื่อรวมหุ้นดีบีเอสกับต่างชาติที่เคยถือหุ้นIFCT สัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างประเทศในธนาคารทหาร
ไทยอยู่ที่ 20.9% ที่เหลือเป็นผู้ถือหุ้นฝ่ายไทย"
ทั้งนี้ ธนาคารทหารไทยจะกลายเป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อันดับ 5 ของประเทศมีสินทรัพย์
รวม 677,000 ล้านบาท มีฐานลูกค้าประมาณ 4 ล้านราย มีสาขา 462 สาขา ยอดสินเชื่อ
533,000 ล้านบาท เป็นธนาคารที่ให้สินเชื่อใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
(เอ็นพีแอล) 11% อัตราส่วนของเงินสำรองหนี้สูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ระดับ
84% และอัตราส่วนของเงินกอง ทุนรวมอยู่ที่ 9.2% โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่
6.0%
"กระทรวงการคลังเล็งเห็นว่าการควบรวมของ สถาบันการเงินทั้ง 3 แห่งดังกล่าว
ทำให้เกิดการเกื้อกูล ซึ่งกันและกันกับทุกฝ่าย ทหารไทยมีอัตราส่วนการเงินที่มีศักยภาพและเครือข่ายสาขาทั่วประเทศ
ดีบีเอส ไทยทนุมีดีบีเอสสิงคโปร์ที่ตกลงในหลักการว่าจะเป็นพันธมิตรอย่างแน่วแน่เพื่อเสริมธุรกิจด้านธุรกรรม
ต่างประเทศ ด้าน Consumer Banking ด้านระบบควบคุมความเสี่ยงและไอที ส่วนIFCTจะเข้ามา
เสริมด้านสินเชื่ออุตสาหกรรม ด้านเอสเอ็มอีและด้าน งานวิเคราะห์วิจัย การควบรวมครั้งนี้จึงเหมาะสมอย่าง
ยิ่ง" ร.อ.สุชาติกล่าว
นายสมหมาย ภาษี ประธานกรรมการธนาคาร ทหารไทย และ IFCT กล่าวว่า อัตราการแลกหุ้น
ของสถาบันการเงินทั้ง 3 แห่ง คือ หุ้นธนาคารทหารไทย 0.9 หุ้น แลกหุ้นธนาคารดีบีเอส
ไทยทนุได้ 1 หุ้น และหุ้นธนาคารทหารไทย 1.124 หุ้น แลกหุ้น IFCT ได้ 1 หุ้น
"ธนาคารทหารไทยจะทำการเพิ่มทุน 4,600 ล้านบาทเพื่อนำไปแลกหุ้นดีบีเอส ไทยทนุ
และ IFCT เมื่อทำการควบรวมแล้วเสร็จจะทำให้หุ้นของดีบีเอสไทยทนุจะลดลงจาก 3,400
ล้านหุ้น เหลือ 3,000 ล้านหุ้น และหุ้นของ IFCT จะเพิ่มขึ้นจาก 1,400 ล้านหุ้นเป็น
1,600 ล้านหุ้น"
หลังจากนี้ สถาบันการเงินทั้ง 3 แห่ง จะนำเสนอรายละเอียดต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นต่อไป
นอกจากนี้ได้มีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อการควบรวมกิจการ ประกอบด้วยกรรมการบริหารของสถาบันการเงินทั้ง
3 เพื่อดูแลการดำเนินการต่างๆ ให้ลุล่วงโดยมีพลเอก แป้ง มาลากุล ณ อยุธยา (ทหารไทย)
เป็นประธาน นายไมเคิล เฮค (ดีบีเอส) และนายณรงค์ชัย อัคร-เศรณี (IFCT) เป็นรองประธาน
ขณะที่คณะกรรมการ ธนาคารจะมีการแต่งตั้งใหม่ตามสัดส่วนผู้ถือหุ้น อย่างไรก็ตาม
ตำแหน่งประธานคณะกรรมการกับประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่มีความเป็นไปได้สูงที่นายสมหมายและนายสุภัค
ศิวะรักษ์ ยังคงทำหน้าที่ต่อไป
สำหรับประเด็นของการเปลี่ยนแปลงชื่อของธนาคารถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก โดยจะทำพร้อมๆ
กับการทำแบรนดิ้ง ภายใต้หลักการเป็นที่ยอมรับของ ลูกค้าและนักลงทุนทั้งภายในและต่างประเทศ
อย่างไรก็ตามยังไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ
นายสุภัค กล่าวว่า ธนาคารได้ปรับเป้าผลประกอบการกำไรสุทธิของปีนี้จาก 4,000 ล้านบาท
เป็น 9,000 ล้านบาท กำไรที่เพิ่มขึ้นจะมาจากผลการดำเนินการร่วมกันของทั้ง 3 ธนาคาร
รวมกับการลด ต้นทุนค่าใช้จ่ายและความสามารถจากการทำกำไรที่เพิ่มขึ้น หรือตามสูตร
A+B+C+1,800=9,000 และคาด ว่ากำไรสุทธิของธนาคารจะเติบโตต่อเนื่องประมาณปีละ 5-10%
โดยขึ้นอยู่กับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจและปัจจัยอื่นๆ ด้วย
"คาดว่าการทำคำเสนอซื้อจะสิ้นสุดภายในเดือน มิถุนายน 2547 สามารถรวมบัญชีของทั้ง
3 สถาบันการเงินได้ในทันที โดยตั้งงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการควบรวมกิจการครั้งนี้
800 ล้านบาท โดยสัปดาห์หน้าธนาคารจะเสนอแผนควบรวมกิจการ แผนโครงสร้างองค์กร แผนดำเนินธุรกิจ
และแผน การจัดการด้านสินเชื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และการรวมกิจการจะเสร็จเรียบร้อยประมาณ
ไตรมาสที่สามของปี 2547"นายสุภัคกล่าว
นายแจ็คสัน ไต รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารดีบีเอส สิงคโปร์
กล่าวว่า การควบรวมในครั้งนี้เป็นครั้งแรกภายใต้แผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (ไฟแนนเชียล
มาสเตอร์แพลน) หรือแผนแม่บทของไทย ถือว่าเป็น สัญญาณของการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมธนาคารไทยที่กำลังจะเริ่มต้นใหม่
ซึ่งดีบีเอสต้องการ เป็นผู้นำในภูมิภาคจึงเห็นชอบกับแผนการดังกล่าว
"ธนาคารใหม่ที่เกิดขึ้นนี้จะมีความเข้มแข็งกว่าที่ศักยภาพของธนาคารทั้ง
3 แห่งจะเข้มแข็งได้ เพราะเป็นการนำจุดแข็งของทั้ง 3 แห่งมารวมกัน โดยธนาคารที่จะแข่งขันในธุรกิจได้ต้องมีทั้งลูกค้าในประเทศและระดับนานาชาติ
และจำเป็นต้องมีบรรษัท ภิบาลที่ดีด้วย"
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า
ตลาดฯ จะห้ามทำการซื้อขายหุ้น (เอสพี) 3 สถาบันการเงินคือ TMB DTDB และ IFCT ต่อไปอีก
1 วัน จากให้ซื้อขายตามปกติในวันนี้ เป็นวันพรุ่งนี้ (10 มี.ค.) แทน เพื่อให้นักวิเคราะห์ได้มีโอกาสนำข้อมูลการควบ
รวมไปทำการศึกษา ภายหลังจากทั้ง 3 สถาบันการเงินได้แจ้งข้อมูลการควบรวมต่อตลาดฯแล้ว
มูดี้ส์โปรยยาอาจปรับเรตติ้ง TMB-IFCT
สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือมูดี้ส์ระบุว่าจะ มีการทบทวนเครดิต TMB และ IFCT
และอาจจะปรับเครดิต โดยสำนักข่าวดาวโจนส์รายงานว่าบริษัท จัดอันดับความน่าเชื่อถือมูดี้ส์
อินเวสเตอร์ เซอร์วิส พิจารณาความเป็นไปได้ในการปรับเพิ่มอันดับตราสาร หนี้และเงินฝาก
TMB และ IFCT ทั้งนี้เรต E+ สำหรับความแข็งแกร่งทางการเงินของ TMB จะคงไม่เปลี่ยน
แปลง และยังคงได้รับมุมมองเป็นเสถียรตามเดิม
มูดี้ส์รายงานว่า การปรับเกรดสะท้อนให้เห็นถึง ศักยภาพของความร่วมมือ 2 บริษัท
โดยการควบรวม ระหว่าง IFCT และ TMB ตามมาด้วยการประกาศแผนควบรวมระหว่าง TMB และ
DTDB ซึ่งเครือข่ายสาขาของ TMB จะช่วยลูกค้า IFCT และที่สำคัญคือ เป็นการระดมทุนให้กับพอร์ตสินเชื่อ
IFCT ด้วยเงินทุนต่ำ