แมงป่องขายปลายมี.ค.จอง12-15 บ.


ผู้จัดการรายวัน(3 มีนาคม 2547)



กลับสู่หน้าหลัก

แมงป่องเล็งขายไอพีโอ 55 ล้านหุ้น ปลายมี.ค.-ต้นเม.ย. ราคาจองเบื้องต้น 12-15 บาท คาดกวาดเม็ดเงินระดมทุนไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท นำไปซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์และขยาย สาขา และชำระคืนเงินกู้ ด้าน "ยูนิค ไมนิ่ง" ยื่นไฟลิ่งขอกระจาย 20 ล้านหุ้นเข้าเอ็มเอไอ

นายครรชิต ควะชาติ ผู้อำนวยการฝ่าย สายธุรกิจวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ธนชาติ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท แมงป่อง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทแมงป่องจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โดยมีแผนจะระดมทุนจากประชาชนทั่วไป โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 55 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท คาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้นได้ภายในปลายเดือน มี.ค. หรืออย่างช้าต้นเดือน เม.ย. 2547 นี้

ทั้งนี้ จะมีการสำรวจความต้องการซื้อของนักลงทุนสถาบัน หรือบุ๊กบิวดิ้ง ภายในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน มี.ค. หลังจากนั้นจะสามารถสรุปราคาที่แน่นอนได้ โดยจะจัดสรรหุ้นให้แก่นักลงทุนสถาบัน ประมาณ 30% ของหุ้นที่เสนอขายทั้งหมด ที่เหลือจะจัดสรรให้แก่นักลงทุนรายย่อยโดยขายผ่านบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายจำนวนประมาณ 6-7 ราย

นางสาวสุวภา เจริญยิ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ธนชาติ จำกัด กล่าวว่า บริษัทแมงป่องคาดว่าจะระดมทุนไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งเงินที่ได้จะนำไปจัดซื้อลิขสิทธิ์ประมาณ 180 ล้านบาท ใช้ในการปรับปรุงและขยายสาขาประมาณ 120 ล้านบาท ชำระเงินกู้ 200 ล้านบาท ส่วนที่เหลือใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ ซึ่งคาดว่าหุ้นแมงป่องจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน เนื่อง จากธุรกิจแผ่นวีซีดี ดีวีดี ภาพยนตร์ยังมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2546 ที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตประมาณ 33% และมีมูลค่าการตลาดประมาณ 6,000 ล้านบาท สาเหตุเนื่องจากราคา แผ่นที่ปรับตัวลดลง รวมถึงเครื่องเล่นที่ราคาปรับตัวลดลงเช่นกัน ทำให้ประชาชนนิยมซื้อแผ่นวีซีดีและดีวีดีมากขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทแมงป่องยังดำเนินธุรกิจที่ครอบคลุม ทั้งทางด้านการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าโฮมเอนเตอร์เทนเมนต์ ทั้งในส่วนของภาพยนตร์และเพลง โดยในปีนี้คาดว่าบริษัทจะมีลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ที่พร้อมจะผลิตเป็นแผ่นกว่า 140 เรื่อง และที่ผ่านมาบริษัทได้มีการปรับโครงสร้างทาง การเงินและโครงสร้างธุรกิจ เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไรและรองรับการขยายธุรกิจ

สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นปัจจุบันกลุ่มตระกูลตรีเอกวิจิตร ถือหุ้น 92% แต่หลังจากที่เสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปแล้วสัดส่วนจะลดลงเหลือ 74% ผู้ถือหุ้นอื่นๆอีก 6% ภายหลังจะลดเหลือ 5% และพนักงานที่ปัจจุบันถือหุ้น 2% จะลดเหลือ 1% และจะมีผู้ถือหุ้นรายย่อยจากการทำไอพีโอประมาณ 20%

ด้านนางกิตติ์ยาใจ ตรีเอกวิจิตร ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทแมงป่อง กล่าวว่า การที่บริษัทฯเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อนำ เงินทุนที่ได้ไปใช้ในการซื้อและจัดหาลิขสิทธิ์เพื่อนำ มาผลิตสินค้าซอฟต์แวร์เอนเตอร์เทนเมนต์ เนื่องจาก ปัจจุบันตลาดธุรกิจโฮมเอนเตอร์เทนเมนต์มีการขยาย ตัวอย่างรวดเร็ว และบริษัทยังมีแผนที่จะเปิดสาขาภายในปีนี้ให้ได้ 250 แห่งจากปัจจุบันที่มีอยู่ 159 สาขา

สำหรับโครงสร้างรายได้ของบริษัทในช่วงปีที่ผ่านมามีการปรับเปลี่ยนจากปี 2545 ที่เป็นลักษณะการขายปลีก 65% ขายส่ง 26% เมื่อเทียบกับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2546 ปรากฏว่าสัดส่วนการขายปลีกลดลงเหลือ 46% แต่ขายส่งเพิ่มขึ้นเป็น 47%

ด้านแหล่งข่าวจากโบรกเกอร์แห่งหนึ่ง เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทแมงป่องได้มีการกำหนดช่วงราคาเบื้องต้นไว้ที่ระดับ 12-15 บาท ซึ่งราคาขายหุ้นที่แน่นอนจะต้องการทำบุ๊กบิวดิ้งจากนักลงทุนสถาบัน

รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ละตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า เมื่อวันที่ 2 มี.ค. 2547 สำนักงาน ก.ล.ต. ได้เริ่มนับ 1 แบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ของบริษัทยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส ที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ใหม่ (MAI) โดยมีบริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

ทั้งนี้ บริษัทยูนิค ไมนิ่ง จะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนใหม่ จำนวน 20 ล้านหุ้น คิดเป็น 28.57% มูลค่า ที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท ซึ่งเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ จะนำไปสร้างคลังเก็บสินค้าแห่งใหม่ 2 แห่ง และซื้อรถบรรทุกเพิ่มเติมเพื่อใช้ในกิจการและชำระเงินกู้คืนสถาบันการเงิน ส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อขยายธุรกิจต่อไป

บริษัทยูนิค ไมนิ่ง ก่อตั้งโดยบริษัทยูนิคแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัล (UGP) และนายสมบูรณ์ สิริ-ไพบูลย์พงศ์ ซึ่งดำเนินธุรกิจนำเข้าถ่านหินคุณภาพดีจากต่างประเทศ และจัดจำหน่ายถ่านหินให้กับโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆภายในประเทศ ซึ่งในปี 2545 บริษัทมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่ เนื่องจาก UGP ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในขณะนั้นได้รับคำเสนอหุ้นโดยบริษัทไทยอินดัสเตรียลแก๊ส (TIG) และเพิกถอน UGP ออกจากตลาด และบริษัท TIG ไม่มี นโยบายที่จะถือหุ้นของยูนิคไมนิ่ง จึงได้ขายหุ้นให้กับนายไพบูลย์ เฉลิมทรัพยากร ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 51%

สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2545 มีรายได้รวม 360.64 ล้านบาท กำไรสุทธิ 44.14 ล้าน บาท ส่วนปี 2546 มีรายได้รวม 661.77 ล้านบาท และ มีกำไรสุทธิ 47.62 ล้านบาท โดยบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 60% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีและเงินสำรองตามกฎหมาย



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.