SINGHA ตั้งเป้าปีนี้โกยรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 30% เนื่องจากมีการขยายกำลังการผลิตสิงห์คลิ๊ก
และไม้พื้นสำเร็จรูป 3 ชั้นเพิ่มเติม คาดว่าจะมียอดขายทั้งปี 1.1 ล้านตารางเมตร
โดยเน้นส่งออกตลาดต่างประเทศ 80% ที่เหลือ 20%จำหน่ายผ่านโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่
นายชาญ ธาระวาส รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน
บริษัท สิงห์ พาราเทค จำกัด (มหาชน) (SINGHA) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีรายได้และกำไรเติบโตขึ้นจากปีก่อนไม่ต่ำกว่า
30% เมื่อเทียบกับปี 2546 ที่มีรายได้ 486.6 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 109.8 ล้านบาท
เนื่องจากบริษัทมีการขยายกำลังการผลิต โดยจะติดตั้งเครื่องจักรสำหรับผลิตสิงห์คลิ๊ก
ซึ่งเป็นไม้พื้นสำเร็จรูปที่ไม่ต้องใช้กาว โดยผู้ซื้อสามารถติดตั้งหรือถอดออกได้เอง
คาดว่าจะดำเนินการผลิตได้ในเดือนเมษายนนี้ จากการสำรวจตลาดต่างประเทศในตัวผลิตภัณฑ์ดังกล่าว น่าจะได้รับการต้อนรับที่ดีจากลูกค้า โดยราคาสินค้าดังกล่าวจะสูงกว่าไม้ปูพื้นสำเร็จรูปทั่วไปประมาณ
10-15% ขณะที่กำไรขั้นต้นสูงถึง 35-40%
นอกจากนี้ บริษัทฯ จะติดตั้งเครื่องจักรสำหรับผลิตไม้พื้นสำเร็จรูปประเภท 3 ชั้นเพิ่มเติมในช่วงพฤษภาคม-มิถุนายน
คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3 ส่งผลให้บริษัทฯมีกำลังการผลิตพื้นไม้สำเร็จรูปในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น
1.1 ล้านตารางเมตร หรือโตขึ้น 30-40% จากปีก่อนที่มีกำลังการผลิต 8.5 แสนตารางเมตร
และในปีถัดไปคาดว่าจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 1.4 ล้านตารางเมตร รวมทั้งมีออร์เดอร์ที่จะส่งมอบสินค้าในปีนี้อีก
70-80 ล้านบาท
สำหรับแผนการตลาดในปีนี้ บริษัทจะรักษาตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในสัดส่วนที่เท่าเดิม
คือ 20% และ 80% ตามลำดับ โดยตลาดในประเทศบริษัทได้เข้าไปเจาะโครงการของบริษัทอสังหาริมทรัพย์
เช่น บมจ.แสนสิริ บมจ.กฤษดานคร และ บมจ.แลนด์แอนด์เฮาส์ เป็นต้น ส่วนตลาดต่างประเทศในปีนี้บริษัทจะขยายตลาดส่งออกเพิ่มเติม
โดยเฉพาะประเทศออสเตรเลีย รวมทั้งหาตลาดลูกค้าเดิม เช่น นอร์เวย์ จากเดิมที่เน้นส่งออกไปยังสหภาพยุโรป
สหรัฐอเมริกา เป็นต้น
นายชาญ กล่าวต่อไปว่า ในวันที่ 18 มีนาคมนี้ ลูกค้าจากยุโรปประมาณ 20 รายจะเดินทางมาเยี่ยมชมโรงงานเพื่อดูขั้นตอนการผลิตของสิงห์ไลน์
คาดว่าจะได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าเพิ่มเติม ทั้งนี้ หากพบว่าคำสั่งซื้อเกิน 1
ล้านตารางเมตร คงต้องมีการพิจารณาการตั้งโรงงานผลิตแห่งใหม่เพิ่มเติม ซึ่งจะใช้ระยะเวลาการก่อสร้างประมาณ
2 ปี คาดว่าจะสรุปการตัดสินใจได้กลางมีนาคมศกนี้
จากการติดตั้งเครื่องจักรเพื่อขยายกำลังการผลิตดังกล่าวข้างต้น ทำให้ครึ่งปีแรก
การจ่ายเงินปันผลจะอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่เชื่อว่าครึ่งปีหลังจะดีขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปี
2548 เนื่องจากบริษัทรับรู้รายได้จากส่วนขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ และจ่ายปันผลปีละ
2 ครั้ง โดยในปี 2546 บริษัทจ่ายเงินปันผลเพียงครั้งเดียว คิดเป็นการจ่ายเงินปันผล
64% ของกำไรสุทธิ ซึ่งสูงสุดในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง โดยมีค่า P/E ของบริษัทในปัจจุบันอยู่ที่
11-12 เท่า ขณะที่ของอุตสาหกรรมอยู่ที่ 14 เท่า และภาระหนิ้สินลดลงเหลือ 92 ล้านบาท
คิดเป็นอัตราหนี้สินต่อทุน 0.2 เท่า รวมทั้งบริษัทฯยังมีที่ดินว่างเหลือ เพียงพอที่จะขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติมได้
ดังนั้น ราคาหุ้น ณ ปัจจุบันยังอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำอยู่